หน้าร้านดีดี บอร์ด

พระเกจิอาจารย์ => หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม => ข้อความที่เริ่มโดย: ka1 ที่ ธันวาคม 07, 2009, 12:46:25 AM



หัวข้อ: หลวงพ่อเงิน พระข้าราชการที่ดี
เริ่มหัวข้อโดย: ka1 ที่ ธันวาคม 07, 2009, 12:46:25 AM
(http://img6.imageshack.us/img6/1019/79340762.jpg)

หลวงพ่อเงิน พระข้าราชการที่ดี

ปฏิปทา หรือการปฏิบัติตน ปฏิบัติงานของหลวงพ่อเงินนั้น ถ้าหากจะติดตาม ศึกษาด้วยความสังเกตพิจารณาโดยตลอดแล้ว ก็จะแลเห็นชัดได้ อย่างหนึ่งคือ

หลวงพ่อเป็นพระข้าราชการที่ดี

คือหลวงพ่อปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต อุทิศเวลาทั้งชีวิตอุทิศจิตใจ ทุ่มเทเสียสละมาตลอดชีวิต เพื่อช่วยชาติบ้านเมือง ช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาไม่ได้หวังผลอะไรเป็นส่วนตัวในชาตินี้เลย

ถ้าหากหลวงพ่อหวังผลบ้าง ก็คือเป็นพระโพธิสัตว์ อุบัติมาสร้างบารมีเพื่อบรรลุพระโพธิญาณ เพื่อจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเศกสัมโพธิญาณในอนาคตกาลอีกแสนไกล ตามปณิธานของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งในอดีตและปัจจุบัน

ข้าพเจ้าเคยทราบมาว่าพระศาสนาของศาสนาฮินดูองค์หนึ่งในปัจจุบันนี้อยู่ที่ประสันตินิลยิม ประเทศอินเดีย ซึ่งมีคนเคารพบูชาทั่วโลก มีสานุศิษย์นับจำนวนล้านทั่วโลก ท่านผู้นี้คือ ท่านภควัน ศรีสัตยา ไสบาบา มีสาวกเป็นคนไทยก็มากมาย ท่านได้ตรัสไว้คำหนึ่งว่า

"Work is worship"

แปลเป็นภาษาไทยยาก แต่พอแปลได้ว่า

"ทำงานเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า"

หรือ

"ทำงานเพื่ออุทิศแด่พระผู้เป็นเจ้า"

หรืออาจจะแปลว่า

"ทำงานเพื่องาน"

หรือ

"ปฏิบัติงานเพื่อการปฏิบัติธรรม"

อะไรทำนองนี้

หมายความว่า ทำงานโดยไม่หวังผลบุญ ไม่หวังความดีความชอบตอบแทนด้วยลาภ ทาน สักการะ ยศศักดิ์ ชื่อเสียง เกียรติ คำสรรเสริญเยินยอ เพื่อหาพรรคหาพวก หาลูกศิษย์ ลูกหา คนเคารพนับถืออะไรทั้งสิ้น

เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้า ทรงสละราชสมบัติ สละมเหสี สละราชโอรส ออกผนวช เพื่อตรัสรู้พระอรหันตสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วก็ทรงพระอุตสาหะวิริยะภาพเสด็จด้วยพระบาทเปล่า เที่ยวเผยแพร่พระธรรมจนตลอดพระชนมชีพนั้นแหละ

หลวงพ่อเงินก็ดำเนินรอยตามพระยุคลบาทของพระบรมศาสดา สละบ้านเรือน ออกบวช อุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนา

ทำตนเป็นข้าราชการที่ดี ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีความอุตสาหะวิริยะภาพมิได้ย่อหย่อน วางใจเป็นกลางได้ ในคนจน คนดีคนชั่ว ทำหน้าที่โดยเที่ยงตรง ตรงไปตรงมา ไม่คกเคี้ยว ไม่มีเล่ห์กระเท่ ไม่มีมารยาสาไถยอะไรเลย ทั้งภายนอกภายในไม่มีอะไรซ่อนเร้นปิดบัง ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยความขาวสะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีใครจะผิดตาผิดใจ สงสัยแคลงใจอะไรได้เลย แม้แต่น้อย

แต่ถึงกระนั้นก็ดี ก็หาใช่ว่าจะปฏิบัติหน้าที่ไปด้วยความปลอดโปร่งไร้อุปสรรค ไม่มีผู้ขัดขวาง ไม่มีผู้ลองดีก็หาไม่ แต่ด้วยความสัตย์ความจริง ความบริสุทธิ์กาย บริสุทธิ์วาจา บริสุทธิ์ใจ จึงดำเนินชีวิต ปฏิบัติหน้าที่มาได้โดยตลอด
หลวงพ่อไม่ใช่พระอรหันต์

คราวหนึ่งมีคนแก่เรียนแก่ปัญหา เข้ามาหาหลวงพ่อแล้วก็ตั้งปัญหาถามว่า

"ทำไมพระภิกษุสมัยนี้จึงไม่มีใครสำเร็จเป็นพระอรหันต์เหมือนครั้งพุทธกาล ?"

คล้าย ๆ จะพูดเป็นเชิงสบประมาทว่าหลวงพ่อเงินนี้ถึงจะเก่งยังไง ก็ไม่ใช่พระอรหันต์

หลวงพ่อตอบเรียบ ๆ ว่า

"คนสมัยนี้กับคนโบราณแตกต่างกันด้วยธรรมชาติ คือคนสมัยโบราณร่างกายแข็งแรงกว่า จิตใจเข้มแข็งกว่าคนสมัยนี้

ข้อสอง ศรัทธา ความเชื่อที่คนสมัยก่อนมีศรัทธาเชื่อมั่นมากกว่าคนสมัยนี้

ข้อสาม สติปัญญา คนสมัยก่อนมีสตินำหน้า มีปัญญาตามหลัง คนสมัยนี้มีปัญญานำหน้า มีสติตามหลัง มีความคิดอันฟุ้งซ่าน แต่ไม่มีสติกำกับใจของตนเอง

ข้อสี่ ความเพียร คนสมัยก่อนมีความเพียรมากกว่าคนสมัยนี้และมีขันติ ความอดทนมากกว่าคนสมัยนี้

หลวงพ่อไม่ได้รับสมอ้างว่าสำเร็จโสดาบัน หรือเป็นพระอริยบุคคลอะไรเลย แต่พูดตามตรงว่า คนสมัยนี้สู้คนสมัยก่อนไม่ได้ในเรื่องคุณสมบัติที่จะเป็นพระอรหันต์.
ทำนอกรีต

คราวหนึ่ง มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แต่งตัวภูมิฐานแบบขุนนางสมัยเก่า เดินอย่างสง่าเข้าไปหาหลวงพ่อ เมื่อเชิญให้นั่ง เขาก็เอ่ยขึ้นมาว่า

"นี่ท่านเป็นหมอด้วยหรือ เห็นมีหยูกยาเยอะแยะ ?"

"อาตมาไม่ได้เป็นหมด ยาที่มีอยู่นี้ มีไว้ใช้เองยามป่วยไข้ แต่ถ้าชาวบ้านมาขออาตมาก็แจกไปเป็นทาน"

"อ้าวก็เมื่อท่านไม่มีวิชาทางการแพทย์แล้ว จะแจกยาส่งเดชไปได้ยังไงคนไข้เอาไปกินผิดหยูกผิดยา เป็นอันตรายเกิดตายขึ้นมาจะไม่ผิดกฎหมายรึ ท่านทำนอกรีตแล้วละ"

"ถึงแม้อาตมาจะทำนอกรีตนอกลู่นอกทางก็ไม่มีเจตนาทำร้ายใคร มีแต่เจตนาดีจะข่วยเขา จึงไม่ถือว่าผิดศีลธรรมผิดวินัย"

"กฎหมายนั้นถึงจะวางบทไว้อย่างไร แต่ก็ไม่เคยช่วยคนไข้คนป่วยในตำบลนี้ เท่าที่อาตมาเคยช่วย"

"นายแพทย์และยาหลวง ก็มีอยู่แต่ในเมือง ช่วยได้แต่คนในเมือง"

"ส่วนคนในตำบลนี้ รัฐบาลก็ไม่เคยช่วย ไม่ได้ตั้งสุขศาลาขึ้น ไม่มียา ไม่มีแพทย์ คนที่ยากจนก็ต้องยอมตายอยู่กับบ้านกันทั้งนั้น"

"อาตมาเห็นว่า เพื่อนมนุษย์ตาดำ ๆ ป่วยไข้ได้ทุกข์ต้องช่วยกันไปตามมีตามเกิด จะว่าอาตมาทำผิดกฎหมายก็ยอมละ แต่จะให้อาตมาผิดศีลผิดธรรมยอมนิ่งดูดาย ไม่ช่วยเหลือคนอื่นนั้นอาตมาทนอยู่ไม่ได้"

"อาตมานึกอยู่เสมอว่า ตำรายาของอาตมาไม่ใช่ตำรายาพิษ หากเป็นยาพิษ บรรพบุรุษของอาตมาคงไม่สืบอายุกันมาถึงอาตมาได้ คงตายกันหมดสิ้นไปแล้ว"

"อ้ายไข้ต่าง ๆ นี่ ท่านรู้หรือเปล่าว่า มันมีอยู่กี่ร้อยกี่พันชนิด ?"

"มี 3 ชนิด"

"เอ๊ะ โรคอะไรของท่านมี 3 ชนิด ?"

"หนึ่งโรครักษาก็หาย ไม่รักษาก็หาย

สองรักษาก็ตาย ไม่รักษาก็ตาย

สามโรครักษาจึงหาย"

ชายผู้นั้นนิ่งไปสักครู่ แล้วถามต่อไปอีก

"ที่ท่านรดน้ำมนต์ไล่ผีนั้นน่ะ ท่านเชื่อหรือว่าผีมีจริง ?"

"ผีมีจริง"

"รู้ได้ยังไงว่าผีมีจริง ?"

"พระพุทธเจ้าบัญญัติว่าภิกษุองค์ใดผีเข้าสิงไม่ต้องทำสังฆกรรม ผีเข้าสิงภิกษุเวลาสวดพระปาฏิโมกข์ให้หยุดสวดพระปาฏิโมกข์ได้ ก็ต้องเชื่อว่าผีมีจริง เหมือนที่เขาว่าพระพุทธเจ้ามีจริง"

หลวงพ่อสำทับว่า

"ถ้าเราไม่เชื่อพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนก็เท่ากับเราไม่เชื่อว่ามีพระพุทธเจ้า เท่ากับเราไม่มีศาสดา"

ชายผู้นั้นเขาว่าเป็นเจ้าเมืองนครปฐมสมัยนั้น มีศักดิ์เป็นพระองค์เจ้ามีพระนามว่า พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา ภายหลังก็มาเป็นสานุศิษย์ของหลวงพ่อเงิน

ลูกศิษย์หลวงพ่อเงิน จึงมีพระองค์เจ้าอาทิตย์ ทิพย์อาภา พระองค์หนึ่ง เป็นเจ้าเมืองนครปฐม.

.......................................................................................