หน้าร้านดีดี บอร์ด

เกษตร Zone => การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ => ข้อความที่เริ่มโดย: jacky ที่ เมษายน 04, 2010, 10:34:50 PM



หัวข้อ: 10.การพัฒนาของเนื้อเยื่อพืช
เริ่มหัวข้อโดย: jacky ที่ เมษายน 04, 2010, 10:34:50 PM
การพัฒนาของเนื้อเยื่อพืช

ชิ้นส่วนพืชที่ผ่านการฟอกฆ่าเชื้อและเลี้ยงบนอาหารวุ้นจะมีการพัฒนาเป็นหน่อเล็กๆภายใน1-2 เดือนแรก
เมื่อทำการตัดย้ายเปลี่ยนอาหารเนื้อเยื่อเหล่านั้น
  จะเจริญเติบโต  และมีการพัฒนาจนสามารถเพิ่มปริมาณโดยเฉลี่ย  3-5 เท่า ภายใน 30 วัน หรือทุกครั้งของการเปลี่ยนย้ายอาหาร  
เมื่อได้ปริมาณต้นตามต้องการ
  จึงเปลี่ยนสูตรอาหารวุ้น เพื่อชักนำการเกิดราก   จนกระทั่งได้ต้นพืชที่สมบูรณ์มีทั้งส่วนลำต้น ใบ และระบบราก สามารถย้ายออกปลูก
ในสภาพธรรมชาติได้   ทั้งนี้เพื่อที่จะให้
  เนื้อเยื่อพืชมีการ เจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ต้องตัดย้ายเนื้อเยื่อวางเลี้ยงบนอาหารใหม่ทุก 3 หรือ 4 สัปดาห์

          สรุประยะการพัฒนาของชิ้นส่วนพืช แบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ
  1. ระยะเริ่มต้น   ถ้าการฟอกฆ่าเชื้อประสบผลสำเร็จชิ้นส่วนพืชที่ไม่ปนเปื้อนจะเริ่มเจริญเติบโตและพัฒนาเกิดยอดใหม่
ทำการย้ายชิ้นพืชนั้นลงอาหารใหม่
   2. ระยะเพิ่มปริมาณ เมื่อชิ้นส่วนพืชพัฒนาเป็นยอดแล้วต้องเปลี่ยนสูตรอาหารที่มีส่วนผสมของสารควบคุมการเจริญเติบโต
ในกลุ่มของไซโตไคนิน  ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเพิ่มปริมาณยอด เช่น BA หรือไคเนติน การเพิ่มปริมาณชิ้นเนื้อเยื่อให้ได้
ตามต้องการเป็นเรื่องไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก เนื่องจากความสำเร็จไม่ได้
 อยู่เพียงว่าใส่ชิ้นพืชลงในอาหารสูตรที่เหมาะสมแล้วชิ้นพืชจะสามารถพัฒนาเป็นอวัยวะต่างๆและเพิ่มปริมาณตามต้องการได้การขยายเพื่อให้ได้จำนวนยอดที่มากพอ
 และมีประสิทธิภาพอาจทำได้หลายวิธีคือ
   2.1 ชักนำให้เกิดแคลลัส (callus induction) แล้วจึงชักนำให้เกิดยอดซึ่งจะได้ยอดหรือต้น  (plantlets)  จำนวนมากอย่างรวดเร็ว  
แต่วิธีนี้จะเสี่ยงต่อการเกิดความแปรปรวนทางพันธุกรรมค่อนข้างสูง
   2.2 โดยการสร้างตาพิเศษ (adventitious buds formation)   ตาข้างที่อยู่ตามซอกใบที่พักตัวเนื่องจากอิทธิพลของตายอด
 (apical bud dormancy)       นิยมใช้มากกับงานขยายพันธุ์
   2.3 กระตุ้นให้เกิดกิ่งข้าง (axillary branching formation)       ตาข้างที่อยู่ตามซอกใบที่พักตัวเนื่องจากอิทธิพลของตายอด
(apical bud dormancy)       นิยมใช้มากกับงานขยายพันธุ์
    3. ระยะเกิดราก หลังจากที่ขยายเพิ่มปริมาณยอดเพียงพอต่อความต้องการแล้ว       จะเข้าสู่ระยะสุดท้ายของการพัฒนาชิ้นพืช  
คือการชักนำให้เกิดรากโดยการเปลี่ยนสูตรอาหารวุ้นที่มีส่วนผสมของสารกลุ่มออกซินซึ่งมีอิทธิพลต่อการชักนำการเกิดรากของพืช
เช่น NAA หรือ IBA
 เป็นต้น โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ชิ้นพืชจะพัฒนาจนเป็นต้นที่สมบูรณ์มีทั้งส่วนราก ลำต้น และใบ พร้อมที่จะนำออกปลูกในสภาพธรรมชาติได้

          หากแบ่งพืชตามระดับความยากง่ายในการเกิดรากได้ง่าย
  เพียงแต่ใช้สารควบคุมการเจริญเติบโตในระดับความยากง่ายในการเกิดรากสามารถแบ่งพืชออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
          กลุ่มที่ 1 เกิดง่าย หมายถึง กลุ่มพืชที่สามารถชักนำให้เกิดรากได้ง่าย       เพียงแต่ใช้สารควบคุมการเจริญเติบโต
ในระดับความเข้มข้นของสาร
  ตามปกติโดยไม่ต้องนำวิธีการอื่น ๆ เข้าช่วย พืชในกลุ่มนี้ ได้แก่  พืชตระกูลขิง (Zingiberaceae) ตระกูลบอนสี (Arecaceae)
โกสน หมากผู้หมากเมีย เฟิร์น เบญจมาศ  เยอบีรา หน้าวัว กล้วย สับปะรด และคะน้ายอด เป็นต้น



(http://forum.narandd.com/imageupload/image/l0cz7r-271c49.jpg)
 สับปะรด

           กลุ่มที่ 2 เกิดปานกลาง  หมายถึง กลุ่มพืชที่สามารถชักนำให้เกิดรากได้ปานกลาง  แต่ต้องใช้วิธีการอื่นร่วมด้วย เช่น
การกรีดโคนต้นแล้วแช่
 ในสารออกซินก่อนนำไปเพาะเลี้ยง จะช่วยทำให้อัตรา การเกิดรากเพิ่มสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 50% ในกลุ่มพืชพวก ไผ่ตง หน่อไม่ฝรั่ง
กันเกรา สะเดา หวาย มังคุด และขนุน



(http://forum.narandd.com/imageupload/image/l0cz8e-e568c0.jpg)
หน่อไม้ฝรั่ง

           กลุ่มที่ 3 เกิดน้อย หมายถึง กลุ่มพืชที่สามารถชักนำให้เกิดรากได้น้อย ถึงแม้จะใช้วิธีการอื่นเข้ามาช่วยหลายวิธีพร้อมๆ กัน
ก็ไม่สามารถชักนำให้เกิดราก
 ได้ถึง 50% พืชในกลุ่มนี้ ได้แก่มะขามป้อม เหมียง และผักหวานป่า เป็นต้น


********************

สรุปขั้นตอนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช

1. คัดเลือกต้นพืชที่มีคุณลักษณะ    

2. ฟอกฆ่าเชื้อจุลินทรีย์    

3. เพิ่มปริมาณยอด  

4. ชักนำราก

5. ล้างปลูก

6. อนุบาลในโรงเรือน

7. นำเข้าสู่ระบบส่งเสริมการเกษตร

************************************************