หัวข้อ: พรหมวิหารธรรม 2. เริ่มหัวข้อโดย: ka1 ที่ ธันวาคม 07, 2009, 12:24:05 AM (http://img6.imageshack.us/img6/1019/79340762.jpg)
พรหมวิหารธรรม 2. พรหมวิหารธรรม 3.ไอ้สำลี เมื่ออ้ายสังข์ตายไป อ้ายขาวเข้ามาแทนที่ เมื่ออ้ายขาวจากไปก็มีสัตว์เดรัจฉานอีกตัวหนึ่งเข้ามาอยู่กับหลวงพ่ออีก คราวนี้มันเป็นสัตว์ใหญ่กว่าเดิม ที่จริงสัตว์เดรัจฉาน ที่มาอยู่กับหลวงพ่อนั้น มันใหญ่ขึ้นตามลำดับ คือ ลิง แล้วก็แพะ คราวนี้เป็นวัวตัวผู้สีขาวสะอาดรูปร่างสูงใหญ่ลักษณะงาม ที่น่าแปลกก็คือสัตว์ทั้ง 3 ตัวนี้ สีขาวทั้งหมด คนที่นำเอาวัวมาถวายหลวงพ่อ ชื่อจ่าเอม ทัศนงาม ตำแหน่งเป็นพัสดี เรือนจำจังหวัดนครปฐม หรือที่เรียกกันว่า เจ้าพ่อคุกท่านผู้นี้เดิมเป็นจ่าทหารอากาศ เป็นนักบินมาก่อน แล้วมาเป็นพัสดีเรือนจำ นักโทษเรียกคุณพ่อกันทั้งคุก จ่าเอม นำวัวตัวนี้มาถวายหลวงพ่อ จะได้มาจากไหนก็ไม่ทราบ แต่มักจะเป็นธรรมเนียมของคนไทยสมัยโน้น ถ้าเห็นวัวตัวไหน มีลักษณะงาม เป็นโค อุศุภราช คือ เขางาม สีกายขาวสะอาด อกใหญ่ หนอก (คือคอ) ใหญ่ สะโพกใหญ่ หางยาวเป็นพวง เขาจะไม่เลี้ยงไว้ใช้งาน เขาจะถวายเป็นวัวพระ หลวงพ่อรับวัวตัวนี้ไว้ แล้วตั้งชื่อมันว่า "ไอ้สำลี" มันเป็นวัวฉลาด แสนรู้ หลวงพ่อรักมันมาก มันก็รักหลวงพ่อมากด้วย ขณะที่มันกำลังและเล็มหญ้าอยู่ หากได้ยินเสียงหลวงพ่อเรียกชื่อมัน มันจะเงยหน้าขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา เวลาหลวงพ่อดุมันจะหยุดทันที เวลาเด็กรังแกมัน มันจะวิ่งเข้าไปหาหลวงพ่อ เวลาหลวงพ่อไปไหนมา มันจะเข้าไปหา เอาจมูกดมกลิ่น แล้วก็เกลือหน้าไปมาตามจีวรของหลวงพ่อแสดงความดีใจที่หลวงพ่อกลับมา เวลาหลวงพ่อฉันเพล มันจะเข้ามายืนอยู่ใกล้ ๆ หลวงพ่อเอาช้อนซ่อม แทงขนมส่งให้มันมันก็จะกิน บางวันไม่มีขนมหลวงพ่อก็ปั้นข้าวสุกยื่นให้มันกิน มันก็กินก้อนข้าวสุก อ้ายสำลีจึงกลายเป็นวัวประหลาดที่กินอาหารอย่างคน แต่พอตกหน้าแล้ง หญ้าในบริเวณวัดดอนยายหอมแห้งเหี่ยวตายหมด หลวงพ่อจึงส่งมันไปให้ นายเนียม ด้วงพูล น้องชายของท่านเอาไปเลี้ยง วันหนึ่งนายเนียม จับอ้ายสำลี เทียมไถ อ้ายสำลีเผ่นโผนสุดแรง คันไถหักหมด จะจับก็ไม่ยอมหให้จับ นายเนียมต้องร้องปลอบว่า "สำลีเอ๋ย มาม๊ะลูกม๊ะ กลับเข้าบ้านพ่อไม่ใช้งานเอ็งอีกแล้ว" อ้ายสำลีได้ยินเสียงปลอบจึงยอมให้จับผูกเชือก โดยเหตุที่ไอ้สำลี เป็นวัวสูงใหญ่ลักษณะงาม กายสีขาว เขาจึงชอบใช้อ้ายสำลีแห่นาค เขาผูกผ้าสีแดงที่คอ ผูกกระดิ่ง ผูกลูกกระพรวน ดังโกร่งกร่าง เข้าขบวนแห่นาคมีกลองยาว มีแตรบรรเลง ไอ้สำลีชอบมาก ไม่เคยวิ่งหนีเลย เมื่อไปในงานบวชนาค ก็มีพวกนักเลงเอาสุราบ้าง เอากระแช่บ้าง น้ำตาลเมาบ้าง เหล้าบ้างให้อ้ายสำลีกิน มันก็กิน ไอ้สำลีจึงกลายเป็นวัวดื่มน้ำเมาไปด้วย เวลามันเมามันก็ยืนนิ่งซึมอยู่ กว่าจะมาถึงวัด ไอ้สำลีก็หายเมา หลวงพ่อจึงไม่รู้ว่าไอ้สำลีขี้เมา 4.นายชื่น ทักษิณานุกูล รายที่ 4 ที่มาอยู่เป็นเครื่องประดับเมตตาบารมี พรหมวิหารธรรมของหลวงพ่อเงินนั้น ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน แต่เป็นสัตว์โลกผู้เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย อย่างหนึ่ง ซึ่งท่านเรียกว่า "สัตว์ประเสริฐ" คือ สัตว์มนุษย์ ผู้มีใจสูง สัตว์โลกรายนี้เป็นชายไทย มีนามกรว่า นายชื่น ทักษิณานุกูล เป็นเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นกับผู้เขียนเมื่อสมัยเรียนชั้นมัธยมอยู่ที่โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย นายชื่นคนนี้ รูปร่างแข็งแรงสันทัด ถนัดทางหมัดมวยชกต่อย เรียนหนังสือเก่งพอประมาณ ไม่น่าเชื่อว่าต่อมาเขาจะกลายเป็นนักเขียน เขาเขียนชีวิประวัติหลวงพ่อเงินไว้เป็นหนังสือเล่มโตมาก ชื่อ "หลวงพ่อเงินเทพเจ้าแห่งดอนยายหอม" แพร่หลายมากอยู่สมัยหนึ่ง นายชื่น ทักษิณานุกูล คนนี้แหละ เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของหลวงพ่อ เป็นลูกศิษย์ที่ถวายตัวเป็น "ลูกบุญธรรม" ของหลวงพ่อเงิน เดิมเขาเกิดในตระกูล "บัวโต" ต่อมาเขาใช้นามสกุลว่า "ทักษิณานุกูล" คือนามสมณศักดิ์ของหลวงพ่อตอนเป็น "พระครูทักษิณานุกูล" เจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม นายชื่น ทักษิณานุกูล คนนี้แหละ เป็นผู้ใกล้ชิดหลวงพ่อ รู้จักหลวงพ่อดีที่สุดและก็เป็นคนมีการศึกษาดี เขียนหนังสือเป็น พอที่จะเขียนประวัติหลวงพ่อเงินให้คนอ่านได้ เขาจึงได้เขียนประวัติของหลวงพ่อเงินขึ้น ทำให้คนทั้งหลายได้อ่านและได้ทราบชีวประวัติและปฏิปทาศีลาจารวัตรของหลวงพ่อที่แท้จริง นับว่าเป็นบุญกุศลของทั้ง 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายนายชื่น ก็ได้ศึกษาอบรมตนไปด้วย ในขณะที่เขียนประวัติของหลวงพ่อ เพราะอานิสงส์ของการเขียนประวัติพระสุปฏิปันโน สาวกสังโฆนั้น เท่ากับเป็นการฝึกอบรมจิตของตนเองไปด้วยอย่างดีวิเศษ เป็นการปฏิบัติงานเพื่อปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เป็นการอุทิศตนต่อหน้าที่อันชอบธรรมอย่างหนึ่ง เป็นการเพ่งพินิจปูชนียบุคคล เป็นการบูชาผู้ที่ควรบูชาอย่างหนึ่ง เป็นการอุทิศตนเพื่อพระผู้เป็นเจ้าโดยบริสุทธิ์ใจไม่หวังผลตอบแทนประการหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนเรื่องนี้ก็ปฏิบัติตนเช่นเดียวกับนายชื่น นั่นเอง บุญกุศลประการที่สอง ก็คือ หลวงพ่อเองที่ได้อุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนามาตลอดชีวิตนั้น ไม่ลี้ลับดับสูญ ยังปรากฏเป็นสัจจธรรม คือความจริงอยู่ อย่างน้อยก็ในจิตใจของลูกศิษย์อย่างน้อยก็ในบรรณโลก เพื่อผู้เกิดมาภายหลัง จะได้เดินตามรอยเท้าต่อไป บุญกุศลประการที่สาม ก็คือคนอื่นคนไกลที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยได้ยินชื่อ (เพราะเกิดมาไม่ทัน จะได้พบได้รู้ จากหนังสือชีวิประวัติที่นายชื่นได้เขียนขึ้นนั้น จะได้รู้แท้แน่แก่ใจว่า พระสุปฏิปันโน (พระผู้ปฏิบัติดี) พระอุชุปฏิปันโน (พระผู้ปฏิบัติงดงาม) พระญายปฏิปันโน (พระผู้ปฏิบัติด้วยความรู้ตัวทั่วพร้อม) พระสามีจิปฏิปันโน (พระผู้ปฏิบัติด้วยความจงรักภักดีต่อพระรัตนตรัย) นั้น มีอยู่ในพระพุทธศาสนานี้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดแจ้งก็คือหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม "พระอาจารย์ดี ย่อมมีลูกศิษย์ดี" "ดูต้นไม้ให้ดูดอกผล" "ดูคน ให้ดูลูก" "ดูครู ให้ดูศิษย์" คำกล่าวข้างบนนี้เป็นความจริงแท้ แม้แต่คำว่า ดูเจ้านายให้ดูไพร่พล ดูแม่ทัพให้ดูทหาร ดูพระราชาให้ดูอำมาตย์ราชเสนา ดูหัวหน้าให้ดูลูกน้อง ดูพระให้ดูสมภาร ดูอาจารย์ให้ดูลูกศิษย์ เป็นความจริง พิสูจน์ได้จากหลวงพ่อเงิน ความเมตตากรุณาของท่านก็ดี การทรงศีลทรงธรรมของท่านก็ดี ดูได้อ่านได้จากลูกศิษย์ของท่านที่พูดที่เขียนไว้นั้น ความดีความงามของท่านนั้น ถ่ายทอดลงในหัวใจของลูกศิษย์ ลูกศิษย์จึงเกิดความบันดาลใจ เขียนสดุดียกย่องสรรเสริญเอาไว้ ซึ่งพระอาจารย์ที่ไม่ดีถึงระดับแล้ว จะไม่มีลูกศิษย์เช่นนี้เลย เพราะเมื่ออาจารย์ยังมีชีวิตอยู่นั้น เลี้ยงลูกศิษย์ไว้ ก็ด้วยความเมตตาไม่ได้คิดไม่ได้หวังว่าลูกศิษย์จะเขียนชีวประวัติของท่านออกเผยแพร่แก่มหาชน แต่ว่าลูกศิษย์เกิดความเคารพเลื่อมใส เกิดความบันดาลใจจากเมตตาบารมี และคุณธรรมความดีอื่น ๆ ทำให้เขาคิดเขียนประวัติพระอาจารย์ออกเผยแพร่แก่มหาชนด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า พระอาจารย์ที่ดีถึงระดับหนึ่ง ถึงจุดหนึ่ง จึงจะมีลูกศิษย์ชนิดนี้ได้ ถ้าดีไม่ถึงระดับ ก็ไม่มีลูกศิษย์ชนิดนี้ ลูกศิษย์อย่างนายชื่น ทักษิณานุกูล จึงเป็นประกาศนียบัตร แสดงคุณธรรมความดีของอาจารย์ มันก็แปลกอยู่ตรงที่ว่า ลูกศิษย์เป็นประกาศนียบัตร แสดงคุณธรรมของอาจารย์ เรื่องนี้ขอให้ดูได้จากทุกวงการ วงการของเจ้านาย พระราชามหากษัตริย์ วงการของข้าราชการ ทหาร ตำรวจ วงการของครูบาอาจารย์ วงการของศิลปิน วงการของกวี วงการของนักเขียน นักประพันธ์ วงการของพระภิกษุสงฆ์ ถ้าครูอาจารย์ดี ถึงขนาดดีถึงจุดหนึ่งแล้ว แน่นอนย่อมจะมีลูกศิษย์ดี |