หน้าร้านดีดี บอร์ด

พระเกจิอาจารย์ => หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม => ข้อความที่เริ่มโดย: ka1 ที่ ธันวาคม 07, 2009, 12:52:46 AM



หัวข้อ: หลวงพ่อโปรดสัตว์
เริ่มหัวข้อโดย: ka1 ที่ ธันวาคม 07, 2009, 12:52:46 AM
(http://img6.imageshack.us/img6/1019/79340762.jpg)

หลวงพ่อโปรดสัตว์

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงบรรทมเมื่อเวลาเที่ยงคืนล่วงไปแล้ว 1 ชั่วโมง คือบรรทมเวลา 1 นาฬิกา และทรงตื่นบรรทมเวลา 4.00 นาฬิกา ตื่นแล้วก็ทรงเข้าฌานสมาบัติ สอดส่องพระญาณไปตรวจดูสรรพสัตว์ทั้งปวงว่าจะมีใครอยู่ในข่ายที่จะไปโปรดได้ แล้วก็ส่องพระรัศมีไปโปรดผู้นั้นจนถึงตัวปรากฏพระองค์ต่อผู้อื่น เช่น การโปรดองคุลีมาล เป็นต้น การที่องคุลีมาลไล่วิ่งกวดไม่ทัน ทั้งที่เป็นชายกำยำนั้น ไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญ แต่เป็นเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งคนสมัยนี้ไม่เชื่อว่าทำได้ และพระเยซู แสดงอิทธิฤทธิ์เสกขนมปัง 5 ก้อน เลี้ยงคนตั้ง 5,000 คน ได้ ชาวคริสต์เขาเชื่อ ท่านไสบาบาแห่งประสันตินิลยิม เนรมิตรสร้อย ล็อกเกต นาฬิกา ขนม วิภูติแจกคนได้ เสด็จไปช่วยสาวกต่างหัวเมืองได้ เป็นหมอผ่าตัดเนื้อร้ายในท้องคนไข้ได้ สาวกของท่านเชื่อถือกันสนิทใจ ไม่สงสัยเลย จึงน่าสงสารชาวพุทธที่เป็นกำพร้า อนาถาไร้ที่พึ่ง ไม่เชื่อว่าพระพุทธองค์แผ่รัศมีไปปรากฏพระองค์ต่อหน้าองคุลีมาล สั่งสอนองคุลีมาลจนใจอ่อนยอมบวช จนสำเร็จ เป็นพระอรหันต์ ได้ ชาวพุทธบางจำพวก ที่เป็นปัญญาชนกลับไม่เชื่อจึงน่าเวทนาสงสารที่เขาเกิดมาเป็นชาวพุทธที่กำพร้าเหล่านั้นเสียจริง ๆ

หลวงพ่อเงินไม่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ คือไม่สำเร็จอภิญญาญาณไม่มีมโนมยิทธิ แสดงฤทธิ์ไม่ได้ อย่างพระผู้มีพระภาคเจ้า (ซึ่งแปลว่า แบ่งภาค หรือเปล่งรัศมีไปโปรดคนได้ ภ = แสงสว่าง ค = ส่องแสงไป = พระผู้มีพระภาคเจ้า คือพระผู้เป็นเจ้า ผู้แบ่งภาคได้ หรือพระผู้เป็นเจ้า ผู้แบ่งภาคได้ หรือพระผู้เป็นเจ้าผู้เปล่งพระรัศมีไปได้ในที่ไกล)

แต่หลวงพ่อเงินก็โปรดสัตว์อยู่เสมอ อย่างที่เคยเล่าว่า ไปเป่าหัวเข่าคนที่ปวดหัวเข่าหายเป็นปลิดทิ้ง แล้วถวายพระบรมธาตุให้แก่หลวงพ่อ เป็นต้น

มีเรื่องเล่าประกอบการโปรดสัตว์ของหลวงพ่ออีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องจริง มีตัวตนยืนยันได้ คือ

คุณอนงค์ สุทธิมณฑล ภรรยาของ พ.ต.อ.เทียบ สุทธิมณฑล ป่วยเป็นโรคประสาท จนผ่ายผอมหน้าซุบซีด เที่ยวรักษาหมอไทย หมอจีน หมอโบราณ หมอแผนปัจจุบันหลายแห่ง ก็ไม่หาย ได้ข่าวว่าหลวงพ่อเงินเป็นพระอาจารย์ขลังนัก จึงไปหาหลวงพ่อ ขอให้รดน้ำมนต์ให้

เมื่อพบหน้าหลวงพ่อแล้วก็มีความเลื่อมใสศรัทธามากเพราะหลวงพ่อมีสง่าราศีผุดผ่อง ผิวพรรณขาวสะอาด แจ่มใส พูดจาไพเราะ โอภาปราศรัย ยิ้มแย้มแจ่มใส ถามถึงสารทุกข์สุกดิบ เหมือนคนคุ้นเคยกันมานับแรมปี

ก่อนจะรดน้ำมนต์ คุณอนงค์ จึงเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า คุณผู้ชายเจ้าชู้แอบไปมีเมียน้อยไว้ ไม่ค่อยห่วงบ้านช่องเลย

หลวงพ่อได้ฟังดังนั้น ก็เข้าใจถึงสภาพจิตใจ อันเป็นสมุฏฐานของโรคได้ทันที หลวงพ่อจึงพูดถึงธรรมะ การครองชีวิต ความทุกข์ความสุขของตนแม้กระทั่งเทวดาในเทวโลก แล้วก็วกลงมาว่า

"ความรัก ความชัง ความดีใจ เสียใจ เป็นธรรมดาของมนุษย์เหมือนมีมืดมีสว่าง มีสุขก็มีทุกข์ เป็นของคู่กัน มนุษย์จะหลีกเลี่ยงไม่พ้น ไม่ว่าไพร่ผู้ดีมีจน คุณนายเคยมีสุขมาแล้ว บัดนี้ทุกข์มันก็เข้ามาหาเราบ้าง ถึงเราไม่ชอบไม่ต้องการ ก็ต้องยอมรับและต่อสู้กับมัน ไม่ควรจะปล่อยให้มันย่ำยีโดยยอมแพ้ง่ายๆ ทางที่จะต้องสู้กับความทุกข์คือ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ขอให้เราเชื่อว่า ทุกคนมีกรรมเป็นของตน ไม่ว่ายากดีมีจนมีทุกข์เดือดร้อนเหมือนกันทั้งนั้น แต่มันทุกข์คนละอย่าง คนมีก็ทุกข์ ไปตามเรื่องของคนมี คนจนก็ทุกข์ไปตามประสาของคนจน จะทุกข์มากหรือทุกข์น้อยอยู่ที่การกำหนดจิตใจ กำหนดจิตใจของตนเองได้ก็มีทุกข์น้อย หากปล่อยใจก็มีทุกข์มากทุกข์อย่างเดียวกัน แต่คนสองคนก็ทุกข์ไม่เท่ากัน เช่น คนสองคนไปปล้นเข้ามา ถูกจับได้ต้องติดตะรางเท่า ๆ กัน แต่คนหนึ่งทุกข์มาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ จนผ่ายผอมแต่คนหนึ่งปลงใจได้ว่าทำกรรมไว้ กรรมก็ตามมาสนอง ทนใช้กรรมยอมติดคุกไป เมื่อหมดกรรมก็ออกจากคุกได้ เขาก็ไม่เดือดร้อนใจ

ตามธรรมดาไฟนั้นจะลุกลามได้ใหญ่โตก็เพราะได้เชื้อที่อ่อนนิ่ม ถ้าเพลิงไหม้ไม้เนื้อแข็งก็ลุกลามได้ยาก เหมือนจิตใจคน ถ้าเข้มแข็งทุกข์ก็เกิดได้ยาก

ในโลกนี้อะไร ก็เป็นเรื่องสมมติทั้งนั้น มนุษย์หาความสุขกันไป วัน ๆ หนึ่ง สมมติกันว่า เจ้านั้นรวย เจ้านี่จน เจ้านั่นนาย นั่นเมีย นั่นผัว สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ตัวของเราก็ไม่เหลืออยู่ ตัวเราก็ไม่ใช่ของเรา เพราะเราห้ามไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตายไม่ได้ ทำไมเล่า เราจะไปมัวนึกว่าของอื่น ๆ นอกกายเป็นของเราอีกเล่า

สามีที่ไปมีภรรยาใหม่นั้น เพราะเขามีกรรม เขาจึงสาละวนขวนขวายอยู่ในกองกามกิเลส ถ้าภรรยาตัดใจได้ว่า ปล่อยเขาไปตามกรรม เราตั้งมั่นอยู่ในความดี หนักแน่นเหมือนแผ่นดิน สามีผู้โลดแล่นไปเหมือนตะไลขึ้นสู่ฟ้า เมื่อหมดฤทธิ์ดินขับ ก็ย่อมตกลงสู่พื้นดินจนได้ หนีความดึงดูดของโลก ไปไม่พ้นเลย

ความดีความงามของภรรยาก็เหมือนแผ่นดิน ย่อมจะดึงดูดสามีให้กลับมาหาจนได้เมื่อเขาหมดเวรหมดกรรม

การมีภรรยามาก เป็นธรรมเนียมของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เรื่องภรรยานี้ มีอยู่ทั่วไปไม่เว้นคน กษัตริย์มีบุญญาธิการ ยังมีสนมไว้มากมาย เทพบุตรก็ว่ามีนางฟ้าเป็นบริวารมากมายหลายหมื่น คุณผู้ชายก็มียศถาบรรดาศักดิ์ หากจะผิดพลาดไปในเรื่องนี้ก็ควรอภัย หมดเวรหมดกรรมกับเมียน้อยเมื่อไร ก็คงกลับมาอยู่กับคุณนาย คุณนายก็มีกินมีใช้ไม่เดือดร้อนอะไรในเวลานี้ ทำใจให้สงบสบายดีกว่า เอ้าเตรียมตัวเข้ามารดน้ำมนต์เสีย จิตใจจะได้สบาย"

คุณอนงค์ สุทธิมณฑล ยกมือขึ้นประนมสั่นหัว ตอบว่า

"ไม่ต้องอาบน้ำมนต์ก็ได้เจ้าค่ะ ได้อาบพระพุทธมนต์แล้ว ทำใจแล้ว ต่อไปจะไม่ทุกข์ในเรื่องเช่นนี้อีก"

ต่อมาไม่นาน คุณอนงค์ ก็มาหาหลวงพ่ออีก คราวนี้ไม่ได้มาคนเดียว เหมือนคราวก่อน แต่มี พ.ต.อ.เทียบ สุทธิมณฑล มาด้วย

เมื่อ พ.ต.อ.เทียบ สุทธิมณฑล ได้นั่งพิจารณาหลวงพ่ออยู่ครู่หนึ่ง พ.ต.อ.เทียบ ก็เข้ามากราบหลวงพ่อ พูดด้วยความเคารพนอบน้อมว่า

"กระผมรู้สึกเป็นบุญเหลือเกินที่ได้มานมัสการหลวงพ่อ กระผมได้รับคำบอกเล่าจากภรรยา กระผมก็อัศจรรย์ใจ กระผมจึงอยากจะมาดูให้เห็นจริง บัดนี้กระผมทราบแล้วว่า ภรรยาของกระผมโชคดีมากที่ได้มาพบหลวงพ่อ ความจริงนั้นกระผมไม่ค่อยเชื่อถือพระที่ไหนนัก เพราะมีแต่หลวงตาแก่ ๆ รดน้ำมนต์อ่านโองการเป็นชั่วโมง ๆ จนภรรยาผมตัวสั่น ก็ยังรดน้ำมนต์โครม ๆ แต่เสร็จแล้วร้อยทั้งร้อยไม่ได้เรื่องสักราย แต่หลวงพ่อรักษาภรรยาผมด้วยปากจนหายได้อย่างอัศจรรย์"

นับแต่วันนั้นมา พ.ต.อ.เทียบ สุทธิมณฑล ต้องนิมนต์หลวงพ่อไปฉันอาหารที่บ้านในวันทำบุญวันเกิดทุกปี เพื่อนฝูงถามว่าทำไมจึงนิมนต์พระองค์เดียว พ.ต.อ.เทียบ สุทธิมณฑล ตอบว่า

"ผมมีหลวงพ่อองค์เดียว"

คำเทศนาโปรดคุณอนงค์ สุทธิมณฑล ของหลวงพ่อนั้น ลองอ่านทบทวนดูอีกสักครั้งเถิดจะเรียกว่า "พระแม่ธรณีสูตร" ได้หรือไม่ เพราะหลวงพ่อสอนว่า คุณงามความดีของภรรยานั้นเหมือนแม่พระธรณีอันหนักแน่นไม่หวั่นไหว ของที่หลุดลอยไป สู่ฟ้าด้วยแรงขับแรงดันอะไรก็ตามย่อมจะถูกดึงดูดตกลงมาสู่ แผ่นดินเสมอ

คำสั่งสอนอย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระโพธิสัตว์อุบัติมาบำเพ็ญบารมีเป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกทั้งหลายได้จริง ๆ สอนได้เหมาะเจาะแก่บุคคลจริง ๆ รักษาโรคใจของคนป่วยให้หายได้จริง ๆ เพราะท่านพูดออกมาจากจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาจริง ๆ ไม่ได้จดจำเอามาจากไหนเลย

........................................................................................