หน้าร้านดีดี บอร์ด

พระเกจิอาจารย์ => พ่อปั้น กตปณฺโณ => ข้อความที่เริ่มโดย: wywy ที่ มกราคม 09, 2010, 07:05:43 PM



หัวข้อ: ชีวประวัติ หลวงพ่อปั้น กตปณฺโณ
เริ่มหัวข้อโดย: wywy ที่ มกราคม 09, 2010, 07:05:43 PM
(http://img697.imageshack.us/img697/6053/30963605.jpg)   (http://img689.imageshack.us/img689/9663/14113824.jpg)
หลวงพ่อปั้น กตปณฺโณ
ชีวประวัติ หลวงพ่อปั้น กตปณฺโณ

นับเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ผู้เขียนต้องบอกว่าเป็น “ม้ามืด” อีกองค์หนึ่งก็ว่าได้ เพราะความโด่งดังของท่านนั้นน้อยคนที่จะรู้จัก แต่ทำไมชาวต่างประเทศถึงได้รู้จัก นี่สิน่าสนใจ..!!
หลวงพ่อปั้นนั้นถือว่าเป็นพระศิษย์ที่มีครูระดับสุดยอดองค์หนึ่ง พระท่านเป็นเอกที่หลวงพ่อลานั้นเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะพอโยมแม่เสีย โยมพ่อก็นำมาฝากให้อยู่กับหลวงพ่อลา ที่วัดแก่งคอยได้ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ และอยู่รับใช้และเรียนอยู่กับหลวงพ่อลาจนกระทั่งได้เกณฑ์ทหาร พอผ่านการเกณฑ์ทหารแล้ว หลวงพ่อลาท่านจึงให้หลวงพ่อปั้นนั้นบวชเรียนเสียที่วัดแก่งคอยนั่นเอง
หลวงพ่อปั้น ชื่อที่ลูกศิษย์ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่นามเดิมหรือชื่อจริงท่านชื่อ สมบูรณ์ ชิดทัก โยมบิดาชื่อ นายพรหมดี ชิดทัก โยมมารดาชื่อ ทองอ่อน ชิดทัก บ้านเกิดอยู่บ้านโคกกรุง และต่อมาโยมบิดาก็ได้พากันอพยพไปทำไร่อยู่ที่บ้านกระเหรี่ยงคอม้า ซึ่งเป็นบ้านเดิมของโยมมารดา ย้ายไปอยู่ที่บ้านกระเหรี่ยงคอม้าได้ไม่นานโยมมารดาก็เสียชีวิต โยมพ่อซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกผู้น้องของหลวงพ่อลา จึงพาลูกชายวัย 7 ขวบนี้ไปฝากอยู่กับหลวงพ่อลา ส่วนน้องอีกสองคนนั้นโยมพ่อก็เลี้ยงดู
ปี พ.ศ. 2490 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่ทางแถบแก่งคอยโดนเครื่องบินมาทิ้งระเบิด จนตลาดแก่งคอย และบ้านเรือนพังไปเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านต่างพากันมาหลบระเบิดอยู่ที่วัดแก่งคอย เพราะถือว่าปลอดภัยที่สุด เพราะก่อนหน้านี้เครื่องบินทิ้งระเบิด ได้ทิ้งระเบิดลงมาที่บริเวณวัดแก่งคอย แต่ปรากฏว่าไม่ระเบิด และมีระเบิดอีก 1 ลูกทิ้งลงตกลงมาที่ข้างหน้ากุฏิของหลวงพ่อลา แต่ก็ไม่ระเบิดเช่นกัน ชาวบ้านจึงพากันไปหลบภัยอยู่ที่วัดแก่งคอย จนสงครามสงบ
ชื่อเสียงของหลวงพ่อลา ชยฺมงฺคโส หรือพระครูสุธรสันธกิจ ซึ่งโด่งดังมากจนถึงปัจจุบัน และเหรียญรูปเหมือนของหลวงพ่อลานั้นในปัจจุบันนี้เป็นที่หากัน และหายากมาก หลวงพ่อลาเองท่านนั้นมีความรู้และเชี่ยวชาญในด้านไสยเวทย์จนเป็นที่ปรากฏชัดแก่ลูกศิษย์ลูกหาตลอดมา
ปี พ.ศ. 2490 หลวงพ่อลาท่านได้ให้ลูกศิษย์ก้นกุฏิที่มีศักดิ์เป็นหลานชายของท่าน คือ นายสมบูรณ์ ชิดทัก บวชเป็นพระภิกษุ โดยหลวงพ่อลาท่านเป็นอุปัชฌาย์ บวชให้ด้วยตัวเอง และให้ฉายาว่า “หลวงพ่อปั้น กตปณฺโณ”
พระภิกษุปั้น กตปณฺโณ จึงอยู่ร่ำเรียนและฝึกกรรมฐานอยู่กับหลวงพ่อลา และศึกษามนต์ทุกอย่างตั้งแต่ตำนาน 7 บท จนถึงพุทธเวทย์บทสำคัญที่หลวงพ่อลาท่านใช้ประจำ และหลวงพ่อปั้นท่านก็ได้กราบลาหลวงพ่อลา ไปอยู่ที่สำนักแห่งหนึ่งที่บ้านกระเหรี่ยงคอม้า และได้เรียนวิชามนต์คาถากับโยมพ่อ และต่อมาจึงมาจำพรรษาอยู่ที่วัดโคกกรุง เรียนวิชาในศาสตร์วิชามหาเสน่ห์ตำรับกระเหรี่ยงคอม้ากับหลวงพ่อหวังซึ่งเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในวิชาสายกระเหรี่ยงคอม้าแบบหาผู้ใดเทียบได้ยากยิ่ง เมื่อเรียนอยู่กับหลวงพ่อหวังจนหลวงพ่อหวังบอกว่าวิชาของท่านนั้นหมดแล้ว หลวงพ่อหวังท่านจึงแนะให้หลวงพ่อปั้นนั้นไปเรียนวิชาตำรับกระเหรี่ยงกับตุ๊เจ้า ที่ทางฝั่งพม่าแถบแม่สาย ซึ่งหลวงพ่อปั้นท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์มุ่งสู่แม่สายและเข้ากราบฝากตัวเป็นศิษย์อยู่กับตุ๊เจ้า และที่นี่เองที่หลวงพ่อปั้นท่านได้มาเจอกับหลวงปู่อิน ที่มาฝากตัวเรียนวิชามหาเสน่ห์ตำรับกระเหรี่ยงกับตุ๊เจ้า และจึงสนิทกันกับหลวงปู่อิน
หลวงพ่อปั้นท่านศึกษาและเรียนศาสตร์วิชามหาเสน่ห์อยู่กับตุ๊เจ้าได้เกือบ 4 ปี จึงออกธุดงค์ต่อโดยเดินธุดงค์จากแม่สายลงมาทางตอนใต้ของพม่าจนกระทั่งได้เจอกับหลวงปู่ดำพระอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องมหาเสน่ห์อีกองค์หนึ่ง หลวงพ่อปั้นท่านจึงขอเดินธุดงค์ตามหลวงปู่ดำ และศึกษาวิชากับหลวงปู่ดำมาตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงทางฝั่งตรงข้ามสังขะ จึงกราบลาหลวงปู่ดำและเดินเข้ามาทางสังขะ แล้วจึงเข้ากราบหลวงพ่ออุตมะ และพักอยู่กับหลวงพ่ออุตมะได้ 7 เดือน จึงเดินทางมุ่งหน้ากลับแก่งคอย สระบุรี
    หลวงพ่อปั้นท่านนับเป็นพระอาจารย์เพียงผู้เดียวในปัจจุบันที่เรียนรู้ศึกษาศาสตร์วิชากระเหรี่ยงคอม้ามาทั้งหมดทุกอย่างเพื่อสืบทอดสรรพวิชาของบรรพบุรุษไว้รักษาฐานความรู้ภูมิปัญญาของครูบาอาจารย์ไว้ และนอกจากตำราเก่าที่หลวงพ่อปั้นท่านได้เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีแล้ว หลวงพ่อปั้นท่านยังรวบรวมสรรพวิชามหาเวทย์ทุกอย่างในสายกระเหรี่ยงคอม้า และกระเหรี่ยงมูซอเขียนบันทึกเอาไว้เพื่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้มีวิชาดั่งเดิมของครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องไว้ศึกษาสืบทอดกันต่อไปและที่สำคัญหลวงพ่อปั้นท่านก็ยังคงยึดถือตามคำสั่งของครูบาอาจารย์อย่างเคร่งครัดคือห้ามถ่ายทอดวิชาสายกระเหรี่ยงคอม้านี้ให้แก่บุคคลภายนอกที่ไม่มีเชื้อสายของชาวกระเหรี่ยงโดยเฉพาะวิชาการลงเสริมมหาเสน่ห์วิชาการทำเสน่ห์สั่งรัก วิชาทำของเครื่องรางมหาเสน่ห์
    วัตถุมงคลของที่ดีที่สุดของวิชากระเหรี่ยงคอม้านั้นจะต้องมีใบมะยมเสกลงสูตรเรียกรักมนต์เสน่ห์ทั้งใบลงในอยู่ในองค์พระนั้นด้วย และการเสกใบมะยมของอาจารย์กระเหรี่ยงคอม้านั้นไม่ใช่ว่าจะเสกกันง่ายแป็บเดียวเสร็จ แต่ต้องใช้เวลานานมาก เริ่มตั้งแต่การทำพิธีกำหนดและพลีต้นมะยม ต้นที่จะนำใบมาใช้ เสร็จแล้วเวลาจะเด็ดใบมะยมนั้นมาใช้ก็จะต้องเสกลงมนต์เด็ดทีละใบ เมื่อได้ใบมะยมมาแล้วหลวงพ่อปั้นท่านบอกว่าท่านจะต้องทำพิธีปลุกเสกตั้งแต่ใบมะยมสดๆ ทุกคืนจนกว่าใบมะยมจะแห้ง เมื่อเสกเสร็จแล้วก็จะเขียนอักขระหัวมนต์กระเหรี่ยงเรียกรัก แล้วจึงนำใบมะยมทั้งหมดมาแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกนำมาบดเป็นผงผสมเป็นมวลสาร ส่วนที่สองนำมาปิดลงที่องค์วัตถุมงคล และที่สำคัญเมื่อก่อนจะลงปิดใบมะยมนั้นก็จะต้องทำพิธีลงทองสาลิกากระเหรี่ยงก่อนแล้วจึงนำใบมะยมมาปิดทับบนแผ่นทองแล้วปั๊มลงจนติดแน่นที่ด้านหลังขององค์พระ
    เมื่ออานุภาพของมนต์วิชาลงทองสาลิกากระเหรี่ยง ที่เด่นทางด้านเมตตามหานิยมเสริมราศี มารวมกับวิชามหาเสน่ห์ที่ลงเสกกำกับลงบนใบมะยมนั้นพอมารวมกันแล้วทั้งพลังแห่งมหาเสน่ห์ และที่ลงบนแผ่นทองคำเปลวที่เน้นทางด้านเมตตามหานิยม เมตตาค้าขาย ก็เท่ากับสุดยอดประหนึ่งที่จะใช้พลังนั้นเรียกให้เขามารักมาหลงเราได้อย่างน่าแปลก แต่ก็จริงและแน่นอนเกินคำบรรยาย
สูตรวิชาการทำผงมหาเสน่ห์ในตำรับกระเหรี่องคอม้านั้น เท่าที่ผู้เขียนพยายามสอบถามจากหลวงพ่อปั้นและท่านผู้รู้หลายท่านั้น มีคำบอกเล่าที่ตรงกันว่าเป็นวิชาที่เร้นลับและไม่ใช่ของเล่นๆ เลย จากที่หลวงพ่อปั้นท่านบอกกับผู้เขียนเองในบางส่วนนั้น ก็ทำให้ได้ทราบเลยว่าการจะทำผงมหาเสน่ห์ในแต่ละครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะในผงสูตรสำคัญนั้นจะนำมาตำให้เป็นผงนั้นไม่ได้ หรือหากนำมาตำเป็นผงเมื่อนำมาใช้แล้วก็จะไม่ได้ผล คือ เสียของเปล่าๆ แต่การจะทำผงที่วิเศษทางด้านมหาเสน่ห์นั้น จะต้องนำหัวว่านพญาเสือขาว หรือที่ชาวกระเหรี่ยงจะเรียกว่า หัวเสือนอน และหัวไพรดำ หัวว่านนางร้อยผัว หัวผัวร้อยนาง หัวว่านแก่นนางครวญ และเถาวัลย์เปรียงที่ตัดเป็นท่อนๆ นำมามัดรวมกัน แล้วนำมาฝนกับหินแล้วใช้น้ำลูกยมป่า ซึ่งได้จากลูกมะยมป่าสดๆ นำมาติดแล้วคั้นเอาแต่น้ำ แล้วนำน้ำนั้นมาทาใส่กับหินแล้วก็นำหัวว่านที่มันรวมกันมาฝนไปเรื่อยๆ จนเป็นผง และนำผงทีได้นี้รวมๆ กันๆ ไว้ ซึ่งการทำผงมหาเสน่ห์นี้นานมากกว่าจะได้ผงพอจำนวนที่ต้องการ แล้วจึงนำไปผสมกับผงยาอีกชนิดหนึ่งที่เป็นสูตรเฉพาะที่หลวงพ่อท่านบอกว่าสิ่งนี้บอกใครไม่ได้เลยหวงมาก เมื่อนำมารวมกันแล้วก็จะนำมาทาที่ใบมะยม เวลาเสกทุกวัน ทาทุกวันเสกทุกวันจนกว่าใบมะยมจะแห้ง แล้วนำใบมะยมที่แห้งนี้ไปตากแดด จนใบมะยมแห้งกรอบ จึงนำใบมะยมนี้มาหยดรวมกับดอกรักซ้อนแห้งที่ผมกับผงไพรที่ฝนไว้ แล้วก็จะได้เป็นผงมหาเสน่ห์ที่เรียกว่า “ผงดำ” ซึ่งแรงในด้านมหาเสน่ห์ยิ่งนัก
ส่วนใบมะยมอีกชุดหนึ่งซึ่งเสกพร้อมกับใบมะยมที่นำมาผสมเป็นผงดำนั้นใบมะยมชุดนี้จะทำเหมือนกันทุกอย่างตั้งแต่น้ำ น้ำผงไพรที่ฝนมาทาแล้วเสกทุกวัน หาทุกวัน จนใบมะยมแห้ง แล้วจึงนำมาเขียนอักขระลงหัวใจเสกมหาเสน่ห์กันอีกครั้ง และใบมะยมชุดนี้ต้องใช้ทั้งใบ ไม่ได้นำไปบดทำผง ซึ่งใบมะยมชุดนี้หลวงพ่อปั้นท่านจะนำมาปิดที่ด้านหลังขององค์พระขุนแผนกระเหรี่ยงคอม้าและองค์ของพระผงเทวดาหลงห้อง สาวสามหมู่บ้านกินน้ำบ่อเดียวกัน ที่เป็นเนื้อพิเศษ
วิชากระเหรี่ยงคอม้าถ้าเน้นในเรื่องมหาเสน่ห์นั้นเท่าที่ทราบมาจะใช้ใบมะยมเสกเป็นหลัก และผงดำ ที่ได้จากพิธีฝนผสมผงอย่างยากลำบากนั้นต้องถือว่าเป็นของดีที่แรงด้วยมหาเสน่ห์แบบไม่มีสิ่งใดเทียบเลยทีเดียว
ส่วนเรื่องน้ำมันมหาเสน่ห์ที่มีผู้ถามกั้นเยอะ และสงสัยกันมากนั้น ว่าแรงจริงหรือเปล่า อันนี้ก็คงตอบแบบชัดเจนลำบาก แต่เท่าที่ได้สัมผัสและสอบถามข้อมูลอย่างละเอียดนั้น ก็บอกได้เลยว่าไม่ใช่ย่อยเช่นกันในเรื่องของความแรง เพราะน้ำมันมหาเสน่ห์สูตรเสือผู้หญิงนั้น ในวิชากระเหรี่ยงจะใช้น้ำมันเสือจริงๆ นำมาฝนกับผงดำจนเป็นน้ำมันที่แรง และเข้มข้นแบบเหนียวๆ แล้วจึงนำน้ำมันที่เข้มข้นนี้กลับมาผสมกับน้ำมันเสืออีกครั้งหนึ่ง ซึ่งพิธีกรรมการทำนั้นก็เหมือนเดิมเป็นสูตรที่เขาหวงแหนกันมานาน จึงไม่รู้ในรายละเอียดมากนักแต่ในกลุ่มผู้ที่มีเชื้อสายกระเหรี่ยงนั้นจะรู้เลยว่า น้ำมันเสือผู้หญิงนี้วิเศษยิ่งนัก ใช้แล้วเห็นผล ใช้แล้วสามารถที่จะผูกจิตผูกใจให้ผู้คนมาคลั่งไคร้หลงรัก ชื่นชอบในตัวเราได้เลย และเมื่อใช้แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีผลเสียใด ๆ ทั้งสิ้น เรื่องแรงน่ะแรงจริง และไม่มีผลเสียใดๆ เลย
ยิ่งเมื่อครูบาอาจารย์ท่านนำน้ำมันเสือผู้หญิงนี้มาทำพิธีลงเขียนด้วยหัวใจมหาเสน่ห์เรียกสูตรรัก เรียกสูตรหลงให้กับผู้ใด ผู้นั้นก็จะเป็นผู้ที่มีเสน่ห์ มีความเจ้าชู้เกิดขึ้น เป็นผู้ที่เมื่อไปไหนก็แล้วแต่จะมีแต่คนรัก คนสนใจและว่าเป็นผู้ชายก็เป็นผู้ชายเนื้อหอมไปเลย ถ้าเป็นผู้หญิงก็เป็นหญิงที่เนื้อหอมจะมีแต่ผู้คนมาชื่นชอบ ส่วนผู้ชายนั้นร้อยทั้งร้อยเมื่อลงไปแล้วจะเป็นผู้ที่มีเสน่ห์แรงใครเห็นก็รักก็หลง เป็นที่รักแก่เพศตรงข้ามได้แบบทุกเพศทุกวัย และไม่เว้นแม้แต่เพศเดียวกัน ซึ่งสิ่งนั้นนับว่าแรงสุดสุดเลยทีเดียว
น้ำมันเสือผู้หญิงที่หลวงพ่อปั้นท่านนำมาลงทำพิธีให้นี้จะเป็นหัวน้ำมันที่ผสมกับผงดำ ซึ่งเป็นหัว แท้ๆ ที่ไม่ได้นำกับมาผสมกับน้ำมันเสืออีกครั้ง ความแรงเมื่อนำมาลงแล้วเสกกำกับด้วยหัวใจมหาเสน่ห์แบบสูตรเฉพาะแล้ว ความแรงจึงเหนือกว่าปกติแน่นอน การทำพิธีลงเสน่ห์เรียกสูตรแบบเต็มพิธีตำรับกระเหรี่ยงคอม้านี้หลวงพ่อท่านจะใช้บ่วงมงคลที่ลงเสกมาเป็นเวลาหลายปีมาสวมให้ก่อนที่จะลงน้ำมันกระเหรี่ยงคอม้าแบบเต็มสูตร คือ ลงน้ำมันเสือผู้หญิง ลงทองหัวใจกระเหรี่ยงคอม้า และลงสาลิกากระเหรี่ยงคอม้า เมื่อหลวงพ่อท่านทำพิธีเสร็จท่านก็จะจับบ่วงมงคลที่คล้องคอเราอยู่ นั้นและเสกหัวใจร้อยบทลงไปแล้วท่านก็จะกระชากบ่วงมงคลนั้น เพื่อให้วิชาที่ลงนั้นเข้าสู่ตัวเราทั้งหมด ซึ่งเมื่อหลวงพ่อท่านกระชากบ่วงนั้น ถ้าเอยากจะได้ของดีให้ขลังเต็มสูตนนั้น เขาบอกว่าไว้อย่าไปฝืน ถ้าเราฝืนเราก็จะได้ไปแบบไม่เต็มสูตร เพราะวิชาที่หลวงพ่อท่านลงให้นั้นจะเข้าไปไม่หมด
สำหรับพิธีลงสาลิกาลิ้นทองกระเหรี่ยงคอม้านั้นต้องบอกเลยว่า ไม่เหมือนกับวิชาลงสาลิกาแบบอื่นๆ และความแรงนั้นผู้เขียนไม่ขอบอกว่าแบบไหนแรงกว่ากันเพราะทุกวิชาก็ต้องมีดีในตัวทั้งนั้น แต่วิชาลงสาลิกาลิ้นทองกระเหรี่ยงคอม้านั้นก็มีดีแบบเฉพาะสูตรอีกเหมือนกัน ซึ่งเมื่อตอนหลวงพ่อท่านทำพิธีให้นั้น หลวงพ่อท่านจะเสกทองลงที่ลิ้นให้ แล้วจะใช้หญ้าคาที่ตัดเป็นอันสั้นจุ่มน้ำผึ้งที่หุงผสมกับผงดำ โดยท่านจะจุ่มแล้วนำมาเขียน ลงสูตรที่บนแผ่นทองที่แปะที่ลิ้น เมื่อเห็นเสร็จแล้วให้เรานั้นอธิษฐานแล้วกลืนแผ่นทองนั้นเลย และชิ้นหญ้าคาที่หลวงพ่อท่านเขียนนั้นท่านก็จะทิ้ง แต่มีอาจารย์ท่านที่รู้ในเรื่องนี้บอกกับผู้เขียนว่า หญ้าคาที่หลวงพ่อท่านใช้เขียนให้นั้นถือว่าเป็นของดีที่วิเศษนัก เมื่อหลวงพ่อท่านเขียนลงให้เราแล้วช่วงที่ท่านจะทิ้งนั้นให้เรารับหยิบเอาเลย หยิบจากมือท่านเลย ที่สำคัญห้ามขอเด็ดขาด ถ้าขอแล้วจะไม่ขลังเขาว่าอย่างนั้นตามแบบโบราณ
หญ้าคานี้เมื่อได้ไปท่านบอกว่าให้นำไปมัดเป็นปมแล้วพกติดตัว ถือว่าเป็นของดีที่เด่นในเรื่องเมตตา เจรจา เรื่องค้าขาย ผู้เป็นบุคคลทั่วไปเขาบอกให้มัดปมเดียว แต่ถ้าท่านใดที่ทำงานประจำอย่างทำงานบริษัท ทำงานราชการ รัฐวิสาหกิจ คือ ทำงานที่มีเงินเดือนประจำน่ะ เขาบอกว่า ท่านนั้นต้องนำหญ้าคาที่ได้นั้นมัดเป็นสองปม แล้วพกติดตัว การงานก็จะก้าวหน้าเจรจากับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็จะรัก คอยช่วยเหลือเกื้อกูลดีนักแล
หญ้าคาที่ได้ไปนี้เมื่อมัดเป็นปม ผูกเป็นปมนั้นบางท่านนำไปผูกเป็นปม แล้วปรากฏว่าขาดแตกเป็นชิ้นๆ มัดไม่ได้ เพราะหญ้าคานั้นแห้ง วิธีมัดหญ้าให้เป็นปมโดยที่หญ้าคาไม่ขาดหรือหักนั้น จะต้องนำหญ้าคาที่แห้งและแข็งนั้นนำไปแช่น้ำจนหญ้าคานั้นอ่อนนิ่ม แล้วจึงมัดเป็นปม แม้เอาตากไว้จนแข็งค่อยนำไปพกติดตัว หรือใส่กระเป๋าสตางค์ อย่างของผู้เขียนเองก็จะนำใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ แต่ผู้เขียนเองนั้