หัวข้อ: 2.ประวัติพระรัฐปาลเถระ เริ่มหัวข้อโดย: jacky ที่ เมษายน 20, 2010, 10:28:53 PM 2.ประวัติพระรัฐปาลเถระ
บุรพกรรมในสมัยพระปุสสพุทธเจ้า ในที่สุดกัปที่ ๙๒ สมัยนั้น พระโพธิสัตว์พระนามว่า ปุสสะ จุติมาบังเกิดเป็นพระโอรสของพระเจ้ามหินทรราชา (อรรถกถาบางแห่งกล่าวว่าชื่อ ชยเสนะ )กรุงกาสี พระราชมารดาทรงพระนามว่า สิริมา ตรัสรู้แล้วทรงแสดงธรรมแก่ สุรักขิตะ ผู้เป็นพระอนุชาของพระองค์ และบุตรปุโรหิต ชื่อ ธรรมเสนะ ทั้งสองดำรงอยู่ในพระอรหัตผล พระศาสดาทรงสถาปนาพระสุรักขิตะถระไว้ในตำแหน่งพระอัครสาวกรูปที่ ๑ ทรงสถาปนาพระธรรมเสนะเถระไว้ในตำแหน่งอัครสาวกรูปที่ ๒ พระเจ้ามหินทรราชา ท่านมีพระโอรสแต่ต่างพระมารดากับพระปุสสพุทธเจ้า อีก ๓ พระองค์ (ซึ่งต่อมมาในสมัยของพระพุทธเจ้าของเรานี้ก็คือ พระอุรุเวลกัสสป พระนทีกัสสป และ พระคยากัสสป) ฝ่ายพระเจ้ามหินทรราชา มีพระดำริว่า ลูกชายคนโตของเราออกบวชเป็นพระพุทธเจ้า ลูกคนเล็กเป็นอัครสาวก ลูกปุโรหิตเป็นทุติยสาวก พระองค์จึงทรงให้สร้างวิหาร ทรงดำรงอยู่ในรัตนะ ๓ และทรงปรารถนาจะอุปัฏฐากพระบรมศาสดาผู้เป็นพระโอรส พร้อมหมู่พระภิกษุแต่ผู้เดียว ไม่ยอมให้ชนทั้งหลายได้มีโอกาสเช่นนั้นบ้าง จึงให้สร้างรั้วไม้ไผ่สองข้าง ปิดล้อมด้วยผ้า ตั้งแต่ซุ้มประตูพระวิหารจนถึงทวารพระราชวัง เบื้องบนรับสั่งให้ผูกพวงของหอมพวงมาลัยที่หอมฟุ้งเป็นเพดาน เสมือนประดับด้วยดาวทอง เบื้องล่างรับสั่งให้เกลี่ยทรายสีเหมือนเงินแล้ว โปรยดอกไม้ ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาตามทางนั้น แล้วนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมหมู่ภิกษุเสด็จไปสู่พระราชมณเฑียร เพื่อกระทำภัตกิจ แล้วเสด็จกลับมายังวิหาร โดยทางเดิม มหาชนอื่น แม้จะดูก็ยังไม่ได้ดู แล้วไฉนจะได้ถวายภักษาหารและการบูชาเล่า.ทรงกระทำเช่นนี้มาตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ชาวพระนครคิดว่าเมื่อพระศาสดาเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เป็นเวลานานถึงเพียงนี้แล้ว ถึงวันนี้ พวกเราแม้เพียงปรารถนาจะเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ก็ยังไม่ได้เฝ้า จะป่วยกล่าวไปไย ถึงการที่จะได้ถวายภิกษา หรือกระทำการบูชา หรือฟังธรรมเล่า พระราชาทรงยึดถือว่า พระพุทธเจ้า และพระสงฆ์เป็นของพระองค์เองผู้เดียว ที่ถูกแล้ว พระศาสดาเมื่อเสด็จอุบัติ ก็อุบัติเพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งหลาย มิใช่อุบัติเพื่อประโยชน์เฉพาะแก่พระราชาเท่านั้นไม่ ชาวพระนครร่วมปรึกษากับพระโอรสทั้ง ๓ องค์ว่าพวกเราจะทำอุบายอย่างหนึ่ง โดยให้ชาวพระนครเหล่านั้นแต่งโจรชายแดนขึ้น แล้วส่งข่าวกราบทูลพพระเจ้ามหินทรราชาว่า หมู่บ้าน ๒ - ๓ แห่งที่อยู่ชายแดนเกิดโจรปล้น พระเจ้ามหินทรราชาจึงมีรับสั่งให้เรียกพระโอรสทั้ง ๓ เข้าเฝ้าแล้วรับสั่งให้พระโอรสทั้ง ๓ ออกไปโจร พระโอรสทั้ง ๓ ออกไปจัดการให้โจรสงบแล้วกลับมากราบทูลพระเจ้ามหินทรราชา พระราชาทรงพอพระทัย ตรัสว่าและสัญญาว่าจะพระราชทานพรข้อหนึ่งให้กับพระโอรสทั้งสาม พระโอรสเหล่านั้นรับพระดำรัสแล้ว ได้ไปปรึกษากับชาวพระนครถึงเรื่องพรที่ได้รับพระราชทานมาว่า พวกเราจะเอาอะไร ชาวพระนครกล่าวว่า ทรัพย์สินเงินทองช้างม้าเป็นต้นหาได้ไม่ยาก แต่พระพุทธรัตนะหาได้ยาก ไม่เกิดขึ้นทุกกาล เราขอให้พระเจ้ามหินทรราชาทรงยอมให้ชาวพระนครได้มีโอกาสกระทำบุญแด่ พระปุสสพุทธเจ้าบ้าง พระโอรสเหล่านั้นจึงนำความนั้นขึ้นกราบบังคมทูลแด่พระราชา พระราชาเมื่อกลับคำพูดไม่ได้จึงตรัสต่อรองว่า ขอเวลาให้ท่านได้ทำบุญกับพระศาสดากับหมู่พระสงฆ์อีก ๗ ปี ๗ เดือน ชาวพระนครไม่รับ พระราชาทรงให้ลดลงอย่างนี้คือ ๖ ปี ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ๖ เดือน ฯลฯ เพียงเดือนเดียว พระโอรสก็ไม่ยินยอม สุดท้ายจึงขออีก ๗ วัน พระโอรสก็ยินยอม พระราชาทรงนำสิ่งที่เตรียมไว้ถวายพระพุทธองค์และหมู่ภิกษุ สำหรับระยะเวลา ๗ ปี ๗ เดือน มารวมกันเพื่อถวายใน ๗ วันเท่านั้น แล้วพระราชาถวายบังคม กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า บัดนี้ ข้าพระองค์อนุญาตให้ชาวพระนครได้ถวายทานแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป โปรดทรงอนุเคราะห์แก่ชาวพระนครเหล่านั้นเถิด พระราชโอรสเหล่านั้นกับชาวพระนครจึงสร้างพระวิหารมอบถวายแด่พระศาสดา ปรนนิบัติพระศาสดาในที่นั้น เมื่อจวนเข้าพรรษา พระราชโอรสเหล่านั้นจึงคิดกันว่า พวกเราจะปรนนิบัติพระศาสดาให้ยิ่งขึ้นได้อย่างไรหนอ ครั้นแล้วจึงได้มีพระดำริอย่างนี้ว่า ขึ้นชื่อว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้หนักในธรรม ไม่หนักในอามิส หากพวกเราตั้งอยู่ในศีลแล้วจักเป็นที่พอพระทัยของพระศาสดาได้ ราชกุมารเหล่านั้นจึงจึงแต่งตั้งอำมาตย์ผู้หนึ่งไว้ในตำแหน่งเป็นผู้หารายได้เพื่อใช้ในการถวายทาน แต่งตั้งอำมาตย์ ผู้หนึ่งเป็นผู้รับจ่ายในการถวายทาน และแต่งตั้งอำมาตย์อีกผู้หนึ่งมีหน้าที่เป็นผู้เลี้ยงภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อตัดกังวลในการถวายทานของพระโอรสทั้งสาม ครั้นแล้ว ราชกุมารทั้งสาม พร้อมทั้งบริวาร ๑,๐๐๐ คน ออกบวชโดยสมาทานศีล ๑๐ ครองผ้ากาสายะ ๒ ผืน บริโภคน้ำที่สมควร ครองชีพอยู่ เขาบำรุงพระศาสดาตลอดชีวิต พระศาสดาทรงเสด็จปรินิพพานในสำนักของเขาเหล่านั้นเอง ราชโอรสเหล่านั้นเมื่อทิวงคตแล้ว ก็วนเวียนเที่ยวตายเกิดอยู่ในเทวโลกและมนุษย์โลก กำเนิดเป็นรัฐปาลกุลบุตรในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า ครั้นมาในเวลาเริ่มสมัยพระพุทธเจ้าของเรานี้ ราชกุมารทั้งสามมาเกิดเป็นชฎิล ๓ พี่น้อง คือ พระอุรุเวลกัสสป พระนทีกัสสป และ พระคยากัสสป อำมาตย์สามคนนั้น คนหนึ่งมาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร ส่วนอีกคนหนึ่งมาเกิดเป็นวิสาขอุบาสก และอำมาตย์ผู้มีหน้าที่เป็นผู้เลี้ยงภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข นั้นก็มาเกิดเป็นบุตรเพียงคนเดียว ในวรรณพ่อค้า ตระกูลเศรษฐี ในถุลลโกฏฐิตะนิคม ตระกูลของท่านชื่อว่า รัฐปาละ เพราะเป็นผู้สามารถดำรงรักษารัฐที่แบ่งแยกได้ คือตระกูลท่านได้สละทรัพย์สินช่วยเหลือแคว้นซึ่งกำลังตกต่ำทางเศรษฐกิจ ให้กลับมั่นคงเหมือนเดิม คนทั่วไปเรียกชื่อท่านว่า รัฐปาละ ตามชื่อตระกูลของท่านเอง สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้เสด็จจาริกไปในหมู่ชนชาวกุรุ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงนิคมที่ท่านรัฐปาลอาศัยอยู่ เหล่าพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลายชาวนิคมถุลลโกฏฐิตะ ได้ทราบข่าวว่า พระสมณโคดมศากยบุตรทรงผนวชจากศากยสกุล เสด็จจาริกมาถึง จึงได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ พระผู้มีพระภาคทรงโปรดพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา. รัฐปาลกุลบุตรขอบวช สมัยนั้น รัฐปาลกุลบุตร ก็ได้นั่งอยู่ในหมู่บริษัทนั้นด้วย.เขาเกิดความเลื่อมใสในพระธรรมที่ทรงตรัส และเกิดความคิดว่า ทำอย่างไรหนอเราจึงจะทราบพระธรรมของพระบรมศาสดาทรงแสดงให้ได้ทั่วถึงถ้าเรายังคงเป็นผู้ครองเรือน การจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ ให้บริสุทธิ์ ก็ไม่สามารถทำได้โดยง่าย ถ้ากระนั้นเรา พึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด ครั้งนั้น พวกพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถาจบแล้ว ต่างก็ชื่นชมยินดีในพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค แล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง ถวายบังคมแล้วต่างพากันกลับไป. รัฐปาลกุลบุตร คิดว่า เราไม่ควรทูลขอบรรพชาต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าในเวลาที่พราหมณ์ และคหบดี เหล่านั้นยังไม่ลุกไป เพราะญาติสาโลหิตมิตรทั้งหลาย ของเขาในที่นั้นเป็นจำนวนมาก ทุกคนก็ทราบอยู่ว่า ท่านเป็นลูกคนเดียว ของมารดาบิดา ท่านไม่ควรบวช แล้วก็จะขัดขวางการขอบรรพชาของเขา ดังนั้นเขาจึงทำเป็นลุกขึ้นไปพร้อมกับพวกเหล่านั้น เมื่อเดินไปได้หน่อยหนึ่งแล้วก็แกล้งแยกตัวออกมาอ้างว่ามีกิจเนื่องอยู่ด้วยสรีระบางอย่าง แล้วไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอบรรพชา พระผู้มีพระภาคทรงถามว่า ท่านเป็นผู้ที่มารดาบิดาอนุญาตให้ออกบวชเป็นบรรพชิตแล้วหรือ? รัฐปาลกุลบุตรกราบทูลว่า ยัง พระเจ้าข้า พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า ดูกรรัฐปาละ พระตถาคตทั้งหลาย ย่อมไม่บวชบุตรที่มารดาบิดามิได้อนุญาต. ครั้งนั้น รัฐปาลกุลบุตรลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วเข้าไปหามารดาบิดาที่อยู่ในเรือน แล้วได้กล่าวขออนุญาตเพื่อออกบวช เมื่อรัฐปาลกุลบุตรกล่าวเช่นนี้แล้ว มารดาบิดาของรัฐปาลกุลบุตร ได้กล่าวว่า พ่อรัฐปาละ เจ้าเป็นบุตรคนเดียว เป็นที่รักที่ชอบใจของเราทั้งสอง มีแต่ความสุข ได้รับเลี้ยงดูมาด้วยความสุข พ่อรัฐปาละ เจ้าไม่ได้รู้จักความทุกข์อะไรเลย มาเถิด พ่อรัฐปาละ เจ้าจงแสวงหาความสุขทางโลกไปเถิด เจ้ายังอยู่ในวัยหนุ่ม ยังสามารถแสวงหาความสุขต่าง ๆ ก็จงแสวงหาความสุขไปด้วย ทำบุญไปด้วยก็ยังได้ เราทั้งสองจะอนุญาตให้เจ้าออกบวชเป็นบรรพชิตไม่ได้ อย่าว่าแต่จะยอมให้เจ้าออกบวชเป็นบรรพชิตเลย แม้นเจ้าจะตายลง เราทั้งสองก็ไม่ปรารถนาจะพลัดพรากจากเจ้า? แม้รัฐปาลกุลบุตร จะอ้อนวอนมารดาบิดาอยู่ถึงสามครั้ง ท่านทั้งสองก็ยังไม่ยินยอม ****************************************************** |