หน้าร้านดีดี บอร์ด

พระเกจิอาจารย์ => ตู้พระธรรมเถระเจ้า => ข้อความที่เริ่มโดย: jacky ที่ เมษายน 20, 2010, 10:31:08 PM



หัวข้อ: 3.ประวัติพระรัฐปาลเถระ
เริ่มหัวข้อโดย: jacky ที่ เมษายน 20, 2010, 10:31:08 PM
3.ประวัติพระรัฐปาลเถระ

มารดาบิดาไม่อนุญาตให้บวช
ครั้งนั้น รัฐปาลกุลบุตรน้อยใจว่า มารดาบิดาไม่อนุญาตให้เราออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ดังนี้ จึงนอนอยู่บนพื้นเรือนที่นั้นเอง ด้วยตั้งใจว่าเราจักยอมตายถ้ามารดาบิดาไม่ยอมให้เราบวช

ตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่ยอมบริโภคอาหาร เริ่มตั้งแต่ ๑ วัน ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ๕ วัน ๖ วัน ไปจนกระทั่งถึงวันที่ ๗

ครั้งนั้น มารดาบิดาของรัฐปาลกุลบุตรจึงได้กล่าวอ้อนวอนให้เขาล้มเลิกความคิดที่จะออกบวชเสีย แล้วมาแสวงหาความสุขใส่ตัวจะดีกว่า มารดาบิดาทั้งสองก็ได้อ้อนวอนเขาถึง ๓ ครั้งแต่รัฐปาลกุลบุตรก็ได้แต่นอนนิ่งเสีย ไม่ยอมฟัง

เพื่อนช่วยอ้อนวอนขอให้อนุญาตให้บวช
ครั้งนั้น มารดาบิดา ของเขาพูด ๓ ครั้งไม่ได้แม้คำตอบ จึงให้เรียกสหายของเขามาพูดว่า สหายของเจ้านั้นอยากจะบวช พวกท่านจงห้ามเขาทีเถอะ แม้สหายเหล่านั้นจะเข้าไปหาเขาแล้ว พูดอ้อนวอนถึง ๓ ครั้งเขาก็ยังคงนิ่ง เหล่าสหายของเขาก็คิดอย่างนี้ว่า ถ้าเพื่อนผู้นี้ไม่ได้บวช ก็จักตาย ก็จะไม่มีใครได้ประโยชน์อะไร แต่ถ้ายอมให้เขาบวชแล้ว ทั้งมารดาบิดาก็จะมีโอกาสได้เห็นเขาบ้างเป็นครั้งคราว รวมทั้งพวกเราที่เป็นสหายด้วย อีกอย่างหนึ่งการบรรพชานี้เป็นของลำบาก เขาก็ต้องถือบาตรเดินไป เที่ยวบิณฑบาตทุกวัน ๆ การประพฤติพรหมจรรย์ที่มีการนอนหนเดียว กินหนเดียว หนักนักหนา ก็เพื่อนของเราผู้นี้เป็นชาวเมือง เป็นสุขุมาลชาติ ถ้าเขาไม่อาจทนประพฤติพรหมจรรย์เช่นนั้นได้ ก็จะต้องกลับมาเอง เอาเถิด เราจักเกลี้ยกล่อมให้มารดาบิดาของเขาอนุญาตจะเป็นผลดีกว่า

ลำดับนั้น พวกสหายพากันเข้าไปหามารดาบิดาของรัฐปาลกุลบุตรถึงที่อยู่ แล้วได้กล่าวว่า ถ้าคุณแม่คุณพ่อจะไม่อนุญาตให้รัฐปาลกุลบุตรออกจาก เรือนบวชเป็นบรรพชิต เขาก็จักตายเสียในที่นั้นเอง แต่ถ้าคุณแม่คุณพ่อจะอนุญาตให้รัฐปาลกุลบุตรออกบวช คุณแม่คุณพ่อก็จักได้เห็นเขาบ้าง แม้บวชแล้ว หากรัฐปาลกุลบุตรทนสภาพการบวชไม่ได้ เขาจะไปไหนอื่น เขาก็จักลับมาที่นี่เอง ขอคุณแม่คุณพ่ออนุญาตให้รัฐปาลกุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิตเถิด.

มารดาบิดาอนุญาตให้บวช
มารดาบิดากล่าวว่า ดูกรพ่อทั้งหลาย เราอนุญาตให้รัฐปาลกุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิต แต่เมื่อเขาบวชแล้วพึงมาเยี่ยมมารดาบิดาบ้าง

ครั้งนั้น สหายทั้งหลาย พากันเข้าไปหารัฐปาลกุลบุตรถึงที่อยู่ แล้วได้กล่าวว่า คุณแม่คุณพ่ออนุญาตให้ท่านออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว แต่เมื่อท่านบวชแล้ว พึงมาเยี่ยมคุณแม่คุณพ่อบ้าง.

รัฐปาละบวชและบรรลุพระอรหันต์
ครั้งนั้น รัฐปาลกุลบุตรลุกขึ้น บริโภคโภชนะ บำรุงกายให้เกิดกำลังแล้ว ไหว้มารดาบิดา ละเครือญาติ ที่มีน้ำตาตกนองหน้าเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

แล้วได้ทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มารดาบิดาอนุญาตให้ข้าพระพุทธเจ้า ออกบวชเป็นบรรพชิตได้แล้ว ขอพระผู้มีพระภาคให้ข้าพระพุทธเจ้าบวชเถิด พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่ใกล้ ให้รัฐปาลกุลบุตรได้บรรพชา ได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค

ครั้นเมื่อท่านรัฐปาละอุปสมบทแล้วไม่นาน พอได้กึ่งเดือน พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในถุลลโกฏฐิตนิคมตามควรแล้ว เสด็จจาริกไปทางนครสาวัตถี เสด็จจาริกไปโดยลำดับได้เสด็จถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี

ท่านรัฐปาละเมื่อได้บวชแล้ว หลีกออกไปอยู่แต่ผู้เดียว บำเพ็ญสมณธรรม ถือธุดงควัตรอย่างอุกฤษฏ์ อยู่อย่างนี้ ๑๒ ปี เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ไม่ช้านานเท่าไร ก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ท่านพระรัฐปาละได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย.

ครั้นเมื่อบรรลุพระอรหัตแล้ว พระเถระรำลึกถึง คำที่สัญญากับว่า เมื่อครั้งที่มารดา บิดาของเราอนุญาตเราให้บวช ท่านทั้งสองกล่าวว่า เจ้าต้องมาพบเราบางครั้งบางคราว แล้วจึงอนุญาต บัดนี้ เราจักทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อกลับไปเยี่ยมท่านทั้งสอง แล้วประสงค์จะทูลลา จึงเข้าเฝ้า.

ครั้งนั้น ท่านพระรัฐปาละเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาจะไปเยี่ยมมารดาบิดา ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตกะข้าพระองค์ พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการกำหนดใจของท่านพระรัฐปาละด้วยพระหฤทัยแล้วว่า เมื่อพระรัฐปาละไปแล้ว จักมีอุปสรรคไร ๆ ไหมหนอ ทรงทราบว่า จักมีแน่ ทรงตรวจดูต่อไปว่า พระรัฐปาละ จักสามารถย่ำยีอุปสรรคนั้นหรือไม่หนอ ทรงเห็นว่า พระรัฐบาละนั้นบรรลุพระ อรหัตแล้ว จักสามารถพ้นจากอุปสรรคนั้นได้ จึงทรงอนุญาต

ท่านพระรัฐปาละลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้ว เก็บอาสนะถือบาตรและจีวรหลีกจาริกไปทางถุลลโกฏฐิตนิคม จาริกไปโดยลำดับ บรรลุถึงถุลลโกฏฐิตนิคมแล้ว เมื่อถึงแล้ว ท่านพระรัฐปาละจึงได้พักอยู่ ณ พระราชอุทยาน ชื่อมิคาจีระ ของพระเจ้าโกรัพยะ ในถุลลโกฏฐิตนิคมนั้น.ซึ่งเป็นพระราชอุทยานที่พระราชาพระองค์นั้นพระราชทานพระราชานุญาตแก่เหล่าบรรพชิตที่มาถึงในเวลาที่หาที่พักไม่ได้ ครั้นรุ่งเช้า ท่านพระรัฐปาละจึงเข้าไปบิณฑบาตยังถุลลโกฏฐิตนิคม

เมื่อเที่ยวบิณฑบาตมาจนถึงเรือนของบิดาท่าน สมัยนั้น บิดาของท่านพระรัฐปาละ กำลังให้ช่างกัลบกสางผมอยู่ที่ซุ้มประตูกลาง ได้เห็นท่านพระรัฐปาละในเพศบรรพชิต กำลังมาแต่ไกล ด้วยความที่ระยะเวลาผ่านไปถึง ๑๒ ปี อีกทั้งพระเถระบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่แต่ในป่า บริโภคแต่ภัตที่บิณฑบาตได้ หน้าตาผิวพรรณจึงเปลี่ยนไป จนท่านบิดาจำไม่ได้ และด้วยความที่ท่านบิดาผูกใจเจ็บในพวกเหล่าสมณะที่ทำให้ท่านต้องเสียลูกชายอันเป็นที่รักต้องออกจากเรือนไปบวช จึงกล่าววาจาขับไล่ว่า สมณะเหล่านี้ ตั้งแต่ให้บุตรที่รักคนเดียวของเราบวช เราก็ไม่เห็นบุตรเราแม้แต่วันเดียว เหมือนเรามอบบุตรไว้ใน มือโจร สมณะเหล่านี้กระทำการหยาบช้าอย่างนี้ ยังจะเข้าใจว่า ที่นี้ควรจะเข้ามา อีก ควรจะเอาตัวออกไปเสียจากที่นี้

ครั้งนั้น ท่านพระรัฐปาละไม่ได้อะไรจากการที่ไปที่บ้านบิดาของท่าน ที่แท้ได้แต่คำด่าเท่านั้น.ขณะนั้นนางทาสีแห่งเรือนของบิดาท่านพระรัฐปาละกำลังจะเอาขนมแป้งที่ชื่อกุมมาสที่บูดเน่าไปทิ้งเสียในที่ทิ้งขยะ ท่านรัฐปาละเห็นดังนั้นจึงได้กล่าวกะนางทาสีนั้นว่า

ดูกรน้องหญิง ถ้าสิ่งนั้นจำต้องทิ้ง ก็จงใส่ในบาตรของฉันนี้เถิด

นางทาสีเมื่อได้ยินดังนั้นก็ก้มลงเทขนมบูดเน่านั้นลงในบาตรของท่านรัฐปาละ ขณะที่นางทาสีกำลังเทขนมบูดลงในบาตรนั้น แลเห็นมือทั้งสองตั้งแต่ข้อมือ ของพระเถระผู้น้อมบาตรลงเพื่อรับภิกษา และเท้าทั้งสองตั้งแต่ชายจีวรลงไป.นางก็จำเสียงและลักษณะของมือและเท้าของท่านพระเถระได้ว่าเป็น ท่านรัฐปาละผู้เป็นบุตรของนายตน

 แต่ถึงแม้นางทาสีนั้นจะเป็นนางนม ผู้ทะนุถนอมพระเถระให้ดื่มน้ำนม และเลี้ยงมาจนเติบโต ก็ไม่บังอาจพูดกับบุตรนายผู้บวช และถึงความเป็นพระมหาขีณาสพแล้ว นางจึงรีบเข้าเรือนแล้วได้เข้าไปหามารดาของท่านรัฐปาละ แล้วได้กล่าวว่า

เดชะบุญแม่เจ้า แม่เจ้าพึงทราบว่า รัฐปาละลูกแม่เจ้ามาแล้ว.

มารดาท่านพระรัฐปาละกล่าวว่า แม่คนใช้ ถ้าเจ้ากล่าวจริง ฉันจะปล่อยให้เจ้าเป็นไท ทำให้เจ้าไม่ต้องเป็นทาสี.

แล้วมารดาของท่านพระรัฐปาละจึงเข้าไปหาบิดาถึงที่อยู่แล้วได้กล่าวว่า เดชะบุญท่านคฤหบดี ท่านพึงทราบว่า ได้ยินว่ารัฐปาลกุลบุตรมาถึงแล้ว.

 พระรัฐปาลฉันขนมบูด
พระเถระนั้น เมื่อได้ภัตแล้วก็เดินหลีกไป ในบริเวณที่ใกล้ ๆ นั้นมีศาลาที่ผู้ใจบุญสร้างขึ้นอยู่ใกล้เรือน ที่ศาลานั้นเขาจัดอาสนะไว้ น้ำและน้ำข้าวเขาก็จัดตั้งไว้ในศาลานั้น เพื่อบรรพชิตทั้งหลายที่เมื่อเที่ยวบิณฑบาตได้แล้วจักนั่งฉัน และถ้าว่าบรรพชิตทั้งหลายปรารถนา ก็สามารถจะถือเอาสิ่งของที่ทานบดีทั้งหลายจัดไว้ก็ได้ ขณะนั้น ท่านพระรัฐปาละอาศัยศาลานั้นฉันขนมกุมมาสบูดนั้นอยู่

บิดาเข้าไปหาท่านพระรัฐปาละถึงที่ใกล้ แล้วได้ถามว่า

มีอยู่หรือ พ่อรัฐปาละ ที่พ่อจะ ฉันขนมกุมาสบูด แม้เราเห็นกับตาก็ไม่เชื่อ ทนไม่ได้ พ่อรัฐปาละ พวกเรา นั้นมีทรัพย์อยู่หนอ มิใช่ไม่มีทรัพย์ พ่อควรไปเรือนของตัวมิใช่หรือ?

คฤหบดียืนจับที่ขอบปากบาตรของพระเถระ แล้วกล่าวคำข้างต้น เมื่อบิดายืนจับที่ขอบปากบาตรอยู่นั้น พระเถระก็ฉันขนมนั้น ขนมนั้นส่งกลิ่นบูดเหม็นเหมือนฟองไข่เน่า เป็นเช่นกับรากสุนัข เล่าว่าปุถุชนก็ไม่อาจกินขนมเช่นนั้นได้ แต่พระเถระ ฉันเหมือนกับอาหารปกติ ครั้นฉันเสร็จแล้วจึงกรองน้ำด้วย ธรรมกรก ล้างบาตร ปาก และมือ แล้วท่านพระรัฐปาละตอบว่า

ดูกรคฤหบดี เรือนของอาตมภาพผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตจะมีที่ไหน อาตมภาพไม่มีเรือน อาตมภาพได้ไปถึงเรือนของท่านแล้ว แต่ที่เรือนของท่านนั้น อาตมภาพไม่ได้การให้ ไม่ได้คำตอบเลย ได้เพียงคำด่าอย่างเดียวเท่านั้น.

มาไปเรือน มาเถิด พ่อรัฐปาละ.

พระเถระ เพราะเป็นผู้ถือ เอกาสนิกังคธุดงค์ (ฉันมื้อเดียว) อย่างอุกฤษฏ์.จึงกล่าวปฏิเสธว่า

อย่าเลยคฤหบดี วันนี้อาตมภาพทำภัตตกิจเสร็จแล้ว.

พ่อรัฐปาละ ถ้าอย่างนั้น ขอท่านจงรับภัตตาหารเพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ ท่านพระรัฐปาละรับนิมนต์ด้วยดุษณีภาพแล้ว

พระเถระ โดยปกติเป็นผู้ถือ สปทานจาริกังคธุดงค์อย่างอุกฤษฏฺ์ (บิณฑบาตตามลำดับบ้าน) จึงปกติจะไม่รับนิมนต์ เพื่อฉันภิกษาในบ้าน ในวันรุ่งขึ้น แต่ที่รับก็เพราะประสงค์จะอนุเคราะห์มารดา ได้ยินว่า มารดาของพระเถระรำลึกแล้วรำลึกเล่าถึงพระเถระ ก็เกิดความโศกอย่างใหญ่ ร้องห่มร้องไห้มีดวงตาฟกซ้ำ เพราะฉะนั้น พระเถระคิดว่า ถ้าเราจักไม่ไปเยี่ยมมารดานั้น หัวใจของมารดาจะพึงแตก จึงรับด้วยความอนุเคราะห์.



*******************************