หน้าร้านดีดี บอร์ด

พระเกจิอาจารย์ => หลวงปู่ทิม อตฺตสนฺโต => ข้อความที่เริ่มโดย: okay ที่ ธันวาคม 12, 2009, 01:08:17 PM



หัวข้อ: ชีวะประวัติ หลวงปู่ทิม อตฺตสนฺโต 3/4
เริ่มหัวข้อโดย: okay ที่ ธันวาคม 12, 2009, 01:08:17 PM
ชีวะประวัติ หลวงปู่ทิม อตฺตสนฺโต 3/4

(http://img42.imageshack.us/img42/9417/95722262.jpg)


ชีวะประวัติ หลวงปู่ทิม อตฺตสนฺโต 3/4

ระหว่างอยู่จำพรรษาที่กุฏิร้างกลางป่าทึบนั้น
ก็มีเหตุการณ์มหัศจรรย์และก็แปลกประหลาดอีก หลวงปู่ท่านจะเล่าให้เราฟังอีกดังนี้ วันหนึ่งซึ่งเป็นฤดูหนาว มี ลมหนาวพัดโชยมาตลอดเวลา ในตอนเช้าหลวงปู่ได้ขึ้นมาฉันอาหารจากบิณฑบาตเช้า ที่บนวัดเหมือนเช่นเคย เมื่อฉันอาหาร บิณฑบาตเสร็จแล้ว เวลาประมาณ๑๐ นาฬิกา หลวงปู่ก็ได้เดินลงจากวัด เพื่อที่จะกลับไปยังกุฏิกลางป่าที่ใช้จำพรรษาอยู่นั้น พอหลวงปู่เดินมาจวนถึงกุฏิ ซึ่งสองข้างทางเป้นป่าละเมาะทั้งนั้น ก็ได้มีตัวตะกวดใหญ่มากตัวหนึ่ง สังเกตจากความยาววัดจดหางยาวหลายฟุต มีหลังกว้างมาก มันกำลังก้มลงกินน้ำในอ่างบันไดที่จะขึ้นกุฏิ เมื่อหลวงปู่เดินมาจนใก้ล เจ้าตะกวดตัวนั้นเมื่อเห็น หลวงปู่เข้า ก็ตกใจวิ่งพรวดออกไปเพื่อจะหนีเข้าป่า แล้วมันก็หยุดชูหัวขึ้นดูหลวงปู่ ต่อจากนั้นหลวงปู่ก็หยุดยืนสงบนิ่ง แล้วเพางมองไปยังเจ้าตะกวดนั้น พร้อมทั้งปล่อยจิตให้ว่างเปล่าทันที เป็นการแผ่เมตตาไปยังสัตว์นั้น ทันใดนั้นแทนที่เจ้าตะกวดอันแสนเปรียวนี้จะหนีต่อไป แต่เหตุกาณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ มันหันหลังกลบมาถึงเท้าของหลวงปู่ซึ่งยืนอยู่ หลวงปู่เห็นเช่นนั้นก็เลยปล่อยจิตให้ว่างเปล่า พร้อมทั้งเจริญเมตตาต่อสัตว์ นั้น โดยกำหนดจิตว่า "สุดแท้แต่ ท่านจะกัดหรือจะขบเราก็ตามใจชอบเถิด" เท่านั้นเอง เจ้าตะกวดใหญ่ตัวนั้น กลับแลบลิ้นเลียอยู่ที่ฝ่าเท้าของหลวงปู่สักครู่หนึ่ง แล้วมันก็ค่อยๆ หันหลังตลานอย่างแช่มช้า แล้วหายเข้าป่าละเมาะไปอย่างแปลกประหลาดที่สุด เพราะเจ้าสัตว์นี้ น้อยนักที่จักเข้าใก้ลคนมนมักจะเผ่นหนีอย่าง ไม่คิดชีวิตทีเดียว หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังอีกว่าบางคืนดึกๆ ดื่นๆ ระหว่างที่นั่งเจริญกรรมฐานนั้น มีงู มีตะขาบ เลื้อยขึ้นมาบนตักบ่อยๆ จะเป็นงูพิษหรือ เปล่าก็ไม่รู้ เพราะมืดมองไม่เห็นแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรให้เจ็บปวดเลย นับว่าเป็นความมหัศจรรย์ยิ่ง

หลวงปู่จำพรรษาอยู่ป่าได้ไม่นานนัก
ต่อมาทางวัดสันติการาม (วัดสีคต) ขาดสมภารเจ้าอาวาสที่จะปกครองดูแลวัด ชาวบ้านที่พอจะรู้ความเป็นมา ของหลวงปู่ ต่างก็พากันมาขอร้องให้หลวงปู่ไปดำรงตำแหน่งที่วัดนั้น หลวงปู่ท่านกลับปฏิเสธไม่ยินดีต่อ ยศถา หรือ สมณศักดิ์นั้นๆ ทำให้ชาวบ้านวัดสีคต ต่างผิดหวังในตัวหลวงปู่ จึงได้พากันไปขอร้องต่อหลวงพ่อสังข์ แห่งวัดน้ำเต้า ซึ่งเป็นอุปัชฌาย์ของหลวงปู่ ให้มาช่วยพูดกับหลวงปู่ จนหลวงปู่ต้องยินยอมตามเจตนารมณ์ของหลวงพ่อวัดน้ำเต้า เพราะเห็นแก่อุปัชฌาย์จะขัดใจก็กระไรอยู่ จึงจำใจทำตามคำขอร้องของอุปัชฌาย์อย่างเสียมิได้ หลวงปู่เสียใจมาก ใช้ว่าจะดีใจในตำแหน่งสมภารเจ้าวัดนั้น เพราะการเป็นสมภารนั่น มันหยาบ ที่ว่าหยาบนั้นหมายความว่า จิตใจที่เคยว่างเปล่าบริสุทธิ์ จะต้องมาหมกมุ่น กับภาระหน้าที่ของสมภาร การเป็นสมภารเจ้าวัดจะอยู่นิ่งเฉยมิได้ จะต้องทำนุบำรุงก่อสร้างพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบเนื่องต่อไป เมื่อได้รับคำสั่ง ให้เป็นสมภารวัดสีคตนั้น ใจของหลวงปู่หายแวบเลยพร้อมั้งกล่าวกับตัวเองว่า "ต่อไปนี้ชีวิต ของเราคงจะต้องดิ่งลงต่ำเสียแล้ว เสียดาย เสียดาย จริงๆ เสียดายเวลาที่เราได้ประพฤติปฏิบัติมาแต่เก่าก่อน" หลวงปู่เปรียบเหมือนว่าตัวเอง ได้พลัดตกลงมาจากต้นตาลเลยทีเดียว... แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกของ

หลวงปู่ท่านที่ไม่ปรารถนาต่อ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
เหมือนกบคนบางจำพวก ที่เสาะแสวงหาความสุขใส่ตัว รวมระยะเวลาได้ ๓ พรรษา ที่หลวงปู่ได้ดำรงตำแหน่ง สมภารเจ้าอาวาสวัดสันติการาม (วัดสีคต) แห่งนี้ ระหว่างที่หลวงปู่เป้นสมภารอยู่วัดสันติการามนี้ ได้สร้างหอสวดมนต์ไว้เป็นอนุสรณ์ ๑ หลังเมื่อปีพ.ศ.๒๔๙๖ ต่อมาปี พ.ศ.๒๔๙๘ หลวงปู่ได้มาดำรงตำแหน่งเป็นนสมภาร ณ วัดพระขาว อ.บางบาล เนื่องจาก วัดพระขาวนี้ขาดสมภาร เพราะท่าน สมภารเก่า (สมภารติ่ง พุทฺธสิริ) ท่านลาออก ชาวบ้านพระขาวต่างก็รู้เคยเห็นการประพฤติการปฏิบัติของหลวงปู่มาก่อน ก็ไปขอร้องให้หลวงปู่มาดำรงตำแหน่ง สมภารยัง ณ วัดพระขาว ต.พระขาว อ.บางบาล จ.อยุธยา เรื่อยมาจวบจนทุกวันนี้และได้บูรณปฏิสงขรณ์สภาพของวัดที่เก่าแก่แต่เดิมให้เป็นของใหม่ทั้งหมดดังที่เราได้เห็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะด้วยบุญและบารมีของหลวงปู่ท่านอย่างแท้จริง จึงมีผลงานให้ปรากฏเห็นทุกวันนี้ คือ
๑.ปรับปรุงกุฏิทั้งหมด รวม ๙ หลังด้วยกัน เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๙-๒๕๐๑
๒.สร้างหอสวดมนต์ ปี พ.ศ.๒๕๐๑
๓.เปลี่ยนกระเบื้องหลังคาอุโบสถ จากกระเบื้องดิน ให้เป็นกระเบื้องเคลือบ
๔.ยกช่อฟ้า พระอุโบสถ , ทำหน้าบรรณอุโบสถ ทำกำแพงแก้วรอบพระอุโบสถ , ทำรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กรอบๆบริเวณ , สร้างศาลาพักร้อนหน้าวัด
๕.สร้างฌาปนสถาน (เมรุเผาศพ)
๖.ปฎิสังขรณ์ศาลาการเปรียญ และสร้างศาลาเรียง , พร้อมทั้งเปลี่ยนกระเบื้องศาลาทั้งหมด ,ทำห้องสุขาชาย-หญิง พร้อมห้องน้ำ
๗.สร้างถังน้ำคอนกรีตใหญ่ พร้อมทั้งติดเครื่องสูบน้ำ
๘.สร้างหอปริยัติธรรม และศาลาเรียง
๙.สร้างสะพานคอนกรีตจากกุฏิไปยังศาลาการเปรียญ
๑๐.เปลี่ยนกระเบื้องหลังคาพระอุโบสถ จากกระเบื้องเคลือบ มาเป็นกระเบื้องลายเทพพนม
๑๑.สร้างภาพเขียนฝาผนังในพระอุโบสถ เป็นภาพพุทธประวัติ และเรื่องราวของพระเวสสันดรชาด
๑๒.สร้างศาลาบำเพ็ญศพ

      ผลงานทั้งหมดนี้ หลวงปู่ท่านเป็นผู้ดำเนินการเองทั้งนั้น แสดงให้เห็นว่าหลวงปู่ท่านเป็นนักพัฒนาอย่างยิ่ง พร้อมทั้งบารมีของหลวงปู่อย่างถ่องแท้จริงๆ จึงสามารถสร้างและปฏิสังขรณ์วัดพระขาวนี้ สำเร็จลุล่วงอย่างฉับไวดั่งเนรมิต แม้กระทั่งการออกเที่ยวเรี่ยไรตามชาวบ้านก็ไม่เคยเลย มีแต่ไอ้ผีเท่านั้นที่เที่ยว ออกใบอนุโมทนาบัตรให้กับชาวบ้านอ้างว่าหลวงปู่จะสร้างนั่นสร้างนี่ หลวงปู่มักจะเรียกบุคคล ที่ประพฤติไม่ดีว่า "ไอ้ผี"หมายถึงพวกที่ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด
      หลวงปู่ก่อสร้างวัดใหม่ทั้งหมดนี้ ด้วยเงินอันบริสุทธิ์ ของท่านทั้งที่ได้อนุโมทนามากับกองกฐินบ้างผ้าป่าบ้าง ถวายเป็นส่วนตัวบ้าง หลวงปู่ท่านจะนำมา ก่อสร้างวัดให้หมดไป เนื่องจากหลวงปู่ท่านไม่หยิบปัจจัย และผ้าป่าของหลวงปู่ที่ได้ดำริจัดสร้างขึ้นมาปีละครั้งนั้น ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายใฝ่ในพุทธศาสนา หลวงปู่ท่านจะเอาจากท่านฝ่ายเดียวไม่ดี จะมีของตอบแทนให้ท่านทุกๆครั้งไป เพื่อเป็นสินน้ำใจของผู้บริจาคของตอบแทนของหลวงปู่นั้น เดี๋ยวนี้มีค่ามากเป็น

เหรียญรูปเหมือนของหลวงปู่กับหลวงพ่อขาว ซึ่งเป็นพระประธานในอุโบสถอยู่ด้านหน้า สร้างให้เป็นของขวัญสำหรับท่านทั้งหลายปีละหลายพันเหรียญ
      นอกจากหลวงปู่จะเป็นนักพัฒนาที่เก่งกาจแล้วหลวงปู่ยังเป็นนักศึกษาธรรมะที่ล้ำเลิศมากอีกด้วยด้วยสติปัญญา และความจำอนแม่นยำสามารถสอบได้ ถึงนกธรรมช้นเอก โดยที่ใช้ระยะเวลาไม่นานเลยและได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูชั้นโท ดังมีสถิติดังนี้

ปี พ.ศ.๒๔๙๒ สอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี
ปี พ.ศ.๒๔๙๓ สอบไล่ได้นักธรรมชั้นโท
ปี พ.ศ.๒๕๐๐ สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก
ในปี พ.ศ.๒๕๑๐ ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบลน้ำเต้า-ตำบลพระขาว พร้อมทั้งได้รับแต่ง ตั้งให้เป็นอุปัชฌาย์
ปี พ.ศ.๒๕๑๒ ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นตรี พร้อมทั้งได้รับพระราชทินนามว่า "พระครูสังวรสมณกิจ"

ในด้านการศึกษา จะเห็นได้ว่าหลวงปู่ท่านมีน้ำใจฝักใฝ่อย่างจริงจังแล้วมักจะทำอะไรต้องต้องทำจริงๆ และต้องให้สำเร็จลุล่วงให้ได้ในไม่ช้า สมกับเป็นชายชาติทหาร ต่อมาหลวงปู่มาพินิจพิจารณาเห็นว่า การมาลุ่มหลงใฝ่ฝันในยศถาบรรดาศักดิ์นี้ ไม่ทำให้เราพ้นทุกข์ได้แน่ มีแต่จะเพิ่มความทุกข์ทรมานจิตใจเราให้ มัวเมาและลุ่มหลง ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดกิเลส จะมีแต่ความโลภ ความโกรธ และความหลวง เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว หลวงปู่ท่านจึงหันหน้ามาศึกษาหนทางแห่ง ความตาย พยายามศึกาาและค้นคว้าหลัก สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยตัวของหลวงปู่เอง และได้ออกธุดงค์เป็นครั้งแรก โดยไปปัก กลดที่สระบุรี ในตอนเช้าหลวงปู่ออกบิณฑบาตรเดินไปสวนทางกับพระ ในละแวกนั้น ซึ่งพระท่านกำลังรับบิณฑบาตรอยู่ ก็เกิดความคิดขึ้นว่า นี่เรากำลังมาแย่ง อาหารจากเขาซึ่งเขาได้รับอยู่ประจำทุกวันๆ จึงตัดสินใจหันหลังกลับทั้งๆ ที่ข้าวในบาตรมีเพียงทัพพีเดียวเท่านั้น เมื่อกลับมาถึงกลดที่พัก ได้มีชาวบ้านนำอาหาร มาถวายพอประมาณ จึงตัดสินใจถอนกลดเดินทางอยุธยา เลิกธุดงค์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาหลวงปู่กลับมาอยู่วัด ได้ศึกษาวิชาวิปสสนากรรมฐานด้วยตนเอง และได้เที่ยวแสวงหาแนวทางแห่งกรรมฐานเพิ่มเติมอีก และได้เดินทางไปศึกษาการเจริญกรรมฐานกับหลวงพ่อจง แห่งวัดหน้าต่างนอก อ.บางไทร จ.อยุธยา ไปๆ มาๆ อยู่หลายหนเพราะอยู่ไม่ไกลกับวัดพระขาวนักหลวงพ่อจงท่านได้แนะแนวทาง"ทางเมตตาให้" หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่า มีอยู่หนหนึ่ง หลวงปู่ได้เดินตัดทุ่งไปหา หลวงพ่อวัดหน้าต่างนอกพอจะเลี้ยวเข้าหลังวัด ซึ่งเป็นทุ่งนาได้มีเหลือบควายตัวหนึ่งบินมาเกาะที่แขนขวา เพื่อหวังจะกินเลือดด้วยความหิว หลวงปู่ได้เอามือปัด ไล่มันไป ถึงสองครั้งก็แล้วเจ้าเหลือบตัวนั้นก็ไม่ยอมหนี พอครั้งที่สาม จึงหยุดนิ่งปล่อยให้เจ้าเหลือบนั้นดูดเลือดกินจนอิ่ม อ้วนแทบจะบินไปไม่ไหว เพื่อสนองความ ต้องการของมันความรู้สึกตอนั้นมันช่างเจ็บปวดแปลบเข้าในหัวใจทีเดียวหลวงปู่มีความรู้สึกสบายใจมากที่ได้ช่วยเหลือเจ้าเหลือบนั้นเมื่อยามหิวโหยจนอิ่มหนำดี แล้วก็บินไปด้วยความปลอดภัย เป็นเรื่องแปลกให้เราได้คติและข้อคิดมาก ในเรื่องความมีเมตตาปรานี ต่อผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก อันเป็นการบำเพ็ญทานอย่างหนึ่ง ที่จะเป็นแนวทางสู่ความสำเร็จ ผู้ที่จะสำเร็จมรรคผลทางนี้ได้ ย่อมจะมีอะไรมาลองจิตลองใจอยู่เสมอ หรือเรียกว่า ตัวมาร ถ้าจิตปล่อยให้ตัวมารมาครอบงำได้ จิตนั้นก็ย่อมแต่สบายหรือที่เรียกว่า ตะบะแตก มรรคผลที่ปลูกเอาไว้มันก็จะเสีย เพราะฉะนั้นจึงต้องพยายามฝึกจิตให้ชนะมาร

      ในสมัยก่อนชาวบ้านเข้าจะทดลองว่าพระที่ปฏิบัติกรรมฐานนั้น จะมีจิตเข้มแข็งหรือไม่นั้น เขาจะนิมนต์พระไปชักมหาในป่าตอนดึกๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงปู่ถูก นิมนต์ ไปชักมหาบังสกุลกับหลวงพ่อจง และหลวงพ่อสังข์ ในป่าหลังวัดบางยี่โท เพื่อเป็นการทดลองตะบะของหลวงพ่อทั้งสาม โดยนำเอาศพของ คนตายที่กำลังมีกลิ่น เหม็น นัยน์ตาโปน หาศพที่น่ากลัวมากๆ นำไปนั่งพิงโคนต้นไม้ในป่าที่เงียบสงัด นั่งพนมมือมีผ้าบังสกุลวางอยู่บนสามผืน แล้วนิมนต์
หลวงพ่อทั้งสามให้เข้าไปพิจารณาทีละรูปในยามดึกๆโดยจับสลากกัน ยามแรกหลวงพ่อจง ท่านเข้าไปพิจารณาก่อนเวลาประมาณ ๕ ทุ่ม ถึงเที่ยงคืน ยามที่ สองหลวงปู่วัดพระขาวเป็นผู้พิจารณา ตั้งแต่เวลาประมาณเที่ยงคืนไปแล้ว เรื่อยไปตามลำดับ หลักการพิจารณาของหลวงปู่ท่านมีง่ายๆ คือเดินเข้าไปยืน พิจารณาอยู่เหนือลม เพื่อจะได้ไม่มีกลิ่นเหม็นจากศพนั้น เพราะจะทำให้เรารู้สึกหวาดกลัวและจะอยู่ไม่ได้นาน ประการสองนึกเสียว่า งูที่มีพิษหรือสิงสาราสัตว์ ร้ายต่างๆ เมื่อมีชีวิตอยู่ เมื่อกัดเรา เราก็ตาย แต่เมื่อมันตายแล้วพิษหรือความดุร้ายของมันก็จะหมดไปก็หมดความน่ากลัว ก็เหมือนดังศพที่อยู่ตรงข้างๆเรานี้ ตายแล้วถึงจะทำร้ายก็ไม่เป็นไร พิษสงก็หมดไปเหมือนดั่งเช่นงูที่ตาย เมื่อฟังดูแล้วทำให้เราค่อยคลายความกลัวเรื่องผีๆสางๆไปได้บ้าง

      ต่อมา หลวงปู่ได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาวิชาวิปัสสนากรรมฐาน กับหลวงพ่อสด จนฺสโร แห่งวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กทม. ซึ่งเป็นพระธรรมกายที่มีชื่อเสียงมาก หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากอยู่ทุกวันนี้ ก็คือ "หลวงพ่อวัดปากน้ำ" หลวงปู่ได้อยู่เจริญกรรมฐานกับหลวงพ่อสด จนฺทสโร เป็นเวลาหลาย คืนหลายวัน หลวงปู่ได้แนวทางในการทำ "สมาธิ ภาวนา"หลวงพ่อสด จนฺทสโร ท่านเคร่งครัดในพระธรรมวินัยมาก ไม่ยอมหยิบปัจจัยเช่นเดียวกับหลวงปู่ เหมือนกัน ระหว่างที่หลวงปู่ได้มาอยู่ศึกษาธรรมที่วัดปากน้ำนั้นขณะที่หลวงปู่กำลังนั่งสนทนาอยู่กับหลวงพ่อสด ได้มีหญิงสองคนเข้ามาหา แล้วหญิงคนที่หนึ่งได้ เอ่ยถามหลวงพ่อสดว่าบิดาของฉันที่ได้ตายไปแล้วนั้นเวลานี้ท่านได้ไปเกิดแล้วหรือยัง หญิงคนที่สองก็เอ่ยถามหลวงพ่อต่ออีกว่า แล้วสามีของดิฉันล่ะคะ เวลานี้ก็ได้ ตายไปแล้วเหมือนกัน เวลานี้เขาไปเกิดแล้วหรือยังและไปเกิดอยู่ ณ ที่ใด หลวงพ่อสดท่านให้หญิงม่ายทั้งสองนั่งรอสักครู่ แล้วหลวงพ่อแห่งวัดปากน้ำก็เดิน ขึ้นไปยังชั้นบน ปล่อยให้หญิงม่ายทั้งสองนั่งคุยกับหลวงปู่วัดพระขาวไปพลางๆ ก่อนแล้วสักพักใหญ่หลวงพ่อสด จนฺทสโร ท่านก็เดินลงมานั่งยังที่เดิมแล้ว