บาทหลวงถอยทัพ
ตำบลดอนยายหอม เป็นตำบลใหญ่ตำบลหนึ่ง มีราษฎรตั้งบ้านเรือนอยู่จำนวนมาก และค่อนข้างจะมีฐานะเป็นปึกแผ่นไม่ยากจน จึงเป็นที่หมายตาของคณะคาทอลิค ตั้งใจจะไปโบสถ์คริสตัง เผยแพร่ศาสนาอยู่ที่นั่นเหมือนที่เคยตั้งสำเร็จมาแล้วในท้องที่อื่น ๆ ในจังหวัดนครปฐม แต่บาทหลวงเหล่านี้เขามักจะมีความรอบคอบ มีการสำรวจ วางแผน อย่างมีขั้นตอนตามลำดับ ก่อนจะตั้งโบสถ์ที่ไหน เขาจะต้องสำรวจพื้นที่ และสำรวจศาสนาอื่นที่มีอยู่แล้วว่า มีความมั่นคงคลอนแคลนอย่างไร มีใครเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนในท้องถิ่นนั้น
ครั้งหนึ่ง มีบาทหลวงคนหนึ่ง ได้เดินทางไปสำรวจศึกษาดอนยายหอมแล้วได้เข้าไปสังเกตการณ์ที่วัดดอนยายหอม ได้พบและสัมภาษณ์หลวงพ่อเงินเป็นการหยั่งดูท่าทีก่อน
"ศาสนาต่าง ๆ ในโลกนี้ ถ้าพูดอย่างเป็นธรรมแล้ว ท่านเห็นว่าศาสนาไหน ดีที่สุด ดีในแง่ไหน ?"
หลวงพ่อเงินตอบว่า
"อาตมาไม่มีความรู้ในเรื่องศาสนาอื่น แต่อาตมาสันนิษฐานว่าไม่ว่าศาสนาใด ก็ดีด้วยกันทั้งนั้น เพราะถ้าผู้ต้นบัญญัติพระศาสดาไม่ดีแล้ว คงไม่มีมหาชนนับถือศาสนาของเขา ศาสนาจึงดีเท่า ๆ กัน เพราะสอนให้คนเป็นคนดีมีความรู้ ฉะนั้น คนที่นับถือศาสนาอะไร ก็ควรจะเรียกว่าเป็นคนดี คือเป็นคนมีศาสนา"
บาทหลวงคนนั้น ไม่พบจุดอ่อนหรือปมด้อยของหลวงพ่อเงินเลย จึงถอยทัพกลับไปไม่มาตั้งโบสถ์เผยแพร่ศาสนาในตำบลดอนยายหอม
คริสตังมานับถือพุทธ
เจ้าพงศ์ธาดา ณ ลำพูน อัยการจังหวัดนครปฐม ควรจะถูกบันทึกไว้ในเรื่องนี้ด้วย เพราะเจ้าพงศ์ธาดา ผู้นี้เดิมนับถือศาสนาคริสต์อยู่ก่อน เมื่อมาเป็นอัยการจังหวัดนครปฐม ก็ได้เดินทางไปวัดดอนยายหอมด้วยธุระราชการ ได้สนทนากับหลวงพ่อ ได้พูดถึงหลักธรรม ในศาสนาได้เห็นบุคลิกลักษณะอันน่าเคารพของหลวงพ่อ ได้เห็นธรรมะอันมีค่าอยู่ในตัวหลวงพ่อ เช่น พรหมวิหารธรรม ความเมตตา ความกรุณา มุทิตาจิต และอุเบกขาธรรม อันมีอยู่ในจิตใจ ของหลวงพ่อ เขาจึงเปลี่ยนใจมานับถือศาสนาพุทธได้ปฏิญาณเป็นพุทธมามกะ ต่อหน้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ต่อหน้าหลวงพ่อที่วัดดอนยายหอมนั้นเอง
บุคคลอีกคนหนึ่ง เป็นอาจารย์อยู่โรงเรียนบำรุงวิทยา อันเป็นโรงเรียนของคริสตัง และเขานับถือคริสต์ศาสนาอยู่ก่อน ได้ไปโต้ตอบธรรมะกับหลวงพ่อเงินอยู่ก่อน แต่แล้วก็ยอมแพ้อย่างศิโรราบ คือ ขอเข้าบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์อยู่ที่วัดดอนยายหอม ยอมให้หลวงพ่อเงิน โกนหัว บวชให้เลยทีเดียว บวชอยู่จนตลอดชีวิต
สองท่านนี้แหละคือเครื่องยืนยันว่า หลวงพ่อเป็นข้าราชการที่ดีของพระพุทธเจ้า รับราชการอยู่ในฝ่ายพุทธจักร
ไม่หนีชั่วไม่กลัวตาย
เป็นประเพณีของสมภารเจ้าวัดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไป คือเมื่อวัดใดสร้างอุโบสถขึ้นสำเร็จแล้ว จะทำพิธีฝังลูกนิมิต สมภารเจ้าวัดนั้นจะต้องหลีกหนีออกไป ให้ไกลสุดเสียงกลอง เมื่อเวลาทำพิธีผลักลูกนิมิตลงหลุม สมภารเจ้าวัดองค์ใดขืนอยู่ร่วมในพิธีนันจะต้องอาถรรพ์ลงหลุมเหมือนลูกนิมิต คือจะถึงกาลมรณภาพไปสู่พรหมโลก เพราะเทวดาได้เล็งเห็นแล้วว่า สมภารเจ้าวัดองค์นั้นได้กระทำบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ไว้ในพุทธศาสนาเสร็จสิ้นหมดกิจแล้ว ไม่สมควรจะอยู่ในโลกนี้ต่อไป จำเป็นจะต้องอัญเชิญวิญญาณไปสถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นพรหมโลก สมภารเจ้าวัดทั่วไป ก็เชื่อถือคตินี้ สืบเนื่องกันมาแต่โบราณกาล สมภารวัดใดใจแข็งดื้อไม่ยอมหลีกหนีออกไปญาติโยมก็จะจัดการนิมนต์ให้ออกไปให้สุดเสียงกลองจนได้ ถึงแก่แบกขึ้นบ่าให้ขี่คอออกไป
แต่กลับปรากฏว่า หลวงพ่อเงินวัดดอนยายหอม ไม่ยอมปฏิบัติตามประเพณีโบราณเมื่อวัดดอนยายหอมมีงานฝังลูกนิมิตเมื่อปี พ.ศ.2492 อย่าว่าแต่จะยอมออกไปให้สุดเสียงกลองเลย หลวงพ่อกลับเข้าร่วมทำพิธีทำสังฆกรรมสวดมนต์ แล้วก็ลงมือผลักลูกนิมิตลงหลุมเองเรียบร้อย ยังความพิศวงสงกาแก่ประชาราษฎรทั้งหลาย รวมทั้งสมภารเจ้าวัดที่ไปร่วมพิธีในครั้งนั้น ว่าหลวงพ่อช่างไม่รักตัวกลัวตายเสียดายแก่ชีวิตบ้างเลย ช่างกล้าฝืนประเพณีแต่โบราณ ที่เชื่อถือกันมาช้านานหนักหนา
คราวนั้นท่านสมเด็จพระธีรญาณมุนี (สนิธ เขมจารี) สมัยยังเป็นพระธรรมปิฎก ได้ไปร่วมในพิธีด้วย ท่านก็ทราบประเพณีนี้ดี จึงได้ถามหลวงพ่อว่า ท่านถือหลักปฏิบัติอย่างไรในเรื่องนี้
หลวงพ่อตอบว่า
"ผู้บัญญัติในเรื่องนี้ อาจแยกออกได้ 2 อย่าง คือ ถ้าไม่ฉลาดเลิศก็ต้องโง่งมงาย"
"ฉลาดเลิศ หรือโง่งมงายอย่างไร ?"
"ฉลาดเลิศเพราะเป็นเพียงนโยบายอันหลักแหลม ที่จะให้สมภารบางองค์ที่ไม่บริสุทธิ์ในศีล และเป็นที่รังเกียจของภิกษุในอาราม ไม่ให้เข้าร่วมในพิธีสังฆกรรมอันสำคัญนี้ จนถึงแต่ต้องออกกลวิธีไล่ออกไปเสียจากพิธีทางอ้อม บัญญัติขึ้นเพื่อไล่สมภารที่ศีลไม่บริสุทธิ์ออกไปเท่านั้นเอง"
"ที่ว่าโง่งมงาย ก็เพราะว่าสมัยก่อนนี้ มักจะหนักไปทางเชื่อถือมากจนขาดเหตุผลเชื่อว่าทำบุญสร้างโบสถ์เป็นบุญอย่างเยี่ยมยอดในโลกมนุษย์ จนผู้ทำจะอยู่เป็นมนุษย์ต่อไปไม่ได้ ความจริงถ้าหากว่าการทำความดีถึงขนาดแล้ว จะทำให้เสียชีวิตก็เชื่อว่า ไม่มีนักบุญคนใดที่จะอุทิศชีวิต เพื่อความดีจะต้องหวาดกลังเลย เพราะพระพุทธศาสนาก็สอนว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงไม่ใช่ตัวตนของเรา แล้วจะมากลัวอะไรเล่ากับความตาย
อีกอย่างหนึ่ง การทำบุญสร้างโบสถ์ก็จัดว่าเป็นการบำเพ็ญบุญกุศลอันสูงส่ง ไม่น่าจะบัญญัติว่าการทำความดีจะได้ชั่ว คือทำให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตของผู้กระทำบุญนั้น จะว่าตายไป เกิดเป็นพระพรหมเป็นของดีก็ไม่ใช่ เพราะว่าชีวิตของใคร ๆ ก็รัก อยากจะมีอายุยืนยาว พระพุทธองค์ก็ทรงบัญญัติพร 4 ประการไว้ว่า อายุ วรรณะ สุขะ พละ ดังนั้นผมจึงไม่เชื่อ"
ดูเหมือนว่านับแต่นั้นมาสมภารเจ้าวัดทั้งหลายรู้เรื่องนี้แล้ว ก็เลิกเชื่อถือเรื่องนี้กันต่อมา โดยหลวงพ่อเงินเป็นผู้ปฏิวัติความเชื่อถือเรื่องนี้เป็นองค์แรก
หลวงพ่อเชื่อมั่นว่า ทำดีต้องได้ดี ไม่ใช่ว่าทำดีที่สุด แล้วจะต้องตาย
หลวงพ่อเชื่อมั่นในศีลของตัวท่านเองว่าบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีด่างพร้อย ไม่ต้องหนีชั่วเพราะกลัวตาย หรือไม่ต้องหนีตาย เพราะเป็นชายชั่ว เพราะไม่ได้ทำชั่วจึงไม่กลัวตาย
ความจริงเป็นอย่างนี้ต่างหากเล่า
คนชั่ว กลัวหลวงพ่อแช่ง
ความจริงนั้น คนบาป คนชั่ว กลัวหลวงพ่อ เพราะเขารู้ว่าหลวงพ่อเป็นพระบริสุทธิ์ ปากศักดิ์สิทธิ์ เขากลัวหนักหนาคือว่า กลัวหลวงพ่อสาปแช่ง ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อไม่เคยแช่งใคร ยิ่งเขารู้ว่าไม่เคยแช่งใครเขาก็ยิ่งกลัวว่า ถ้าหลวงพ่อแช่ง เขาเจ๊งแน่ ๆ เรื่องนี้มีตัวอย่างหลายเรื่อง
เรื่องหนึ่งก็คือ มีคน ๆ หนึ่ง เป็นคนเกเรมากมีคนบอกหลวงพ่อ หลวงพ่อก็พูดปรารภว่า
"เขาเป็นคนบาปหนา ห้ามเขาไม่เชื่อหรอก ไม่ช้าเขาก็ติดคุก"
อยู่ต่อมาไม่นาน นายคนนั้นไปคบเพื่อนโจรเอาคนมาปล้นบ้านชาวบ้านถูกตำรวจจับไปติดคุก คนก็รู้กันทั่วไป เป็นเรื่องแรกว่า หลวงพ่อปากศักดิ์สิทธิ์นัก
เถ้าแก่เสียงก็กลัว
คราวหนึ่ง เถ้าแก่เสียง เจ้าของโรงสี ได้ออกหวยจับยี่กีขึ้น มีคนแทงหวยกันมาก รู้ถึงหูหลวงพ่อก็เดินไปเยี่ยมเถ้าแก่ถึงโรงสี ถามถึงทุกข์สุขการทำมาหากิน
"คนที่มีปัญญาหากิน และขยันอย่างเถ้าแก่เสียง ไม่มีวันจนแน่นับวันมีแต่จะมั่งคั่งร่ำรวย"
หลวงพ่อพูดไปเรื่อยๆ
"คนบ้านนี้เขารักใคร่นับถือเถ้าแก่เพราะเป็นคนดีมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่"
เถ้าแก่ดีใจมากที่หลวงพ่อมาเยี่ยมถึงบ้าน แล้วก็ชมเชยให้ศีลให้พร
"เขาลือกันหนาหูว่า เถ้าแก่ออกหวยจับยี่กี ฉันไม่เชื่อหรอก คนรวย ๆ อย่างเถ้าแก่ จะมาตั้งบ่อยออกหวยจับยี่กี จะคิดสั้นอย่างนั้นเชียหรือ ?"
หลวงพ่อพูดต่อไป
"เพราะถ้าคนบ้านนี้เล่นหวยกัน เขาก็ต้องพากันยากจน ก็จะกลายเป็นคนลักขโมยปล้นสะดม เถ้าแก่ก็จะถูกปล้น"
แล้วหลวงพ่อก็เทศน์ว่า
"ถ้าเถ้าแก่คิดจะตั้งบ่อนจริง ๆ ฉันก็ขอร้องว่าเลิกเสียเถอะ ถ้าเถ้าก็ไม่ยากจนหมดทางหากินอย่างอื่นแล้ว ฉันก็จะไม่ขอร้องให้เลิกเลย"
ตั้งแต่วันนั้นมา หวยจับยี่กีก็เลิกออก
เถ้าแก่เสียงพูดว่า
"แหม-อั้วอายหลวงพ่อแท้ ๆ อีว่าอั้วหมดปัญญาหากินแล้วออกหวยจับยี่กี"
แต่ที่จริงเถ้าแก่เสียงกลัวถูกปล้น ตามคำของหลวงพ่อ
เถ้าแก่เสียงจะถูกปล้นจริง ๆ ด้วย ถ้าไม่เลิกออกหวยจับยี่กี
.......................................................................................