wywy
บุคคลทั่วไป
|
|
« เมื่อ: มกราคม 20, 2010, 04:28:49 PM » |
|
ครม.เศรษฐกิจ สั่ง ธปท.เทียบค่าเงินบาทกับประเทศคู่แข่ง
“ไตรรงค์” สั่ง ธปท.เทียบค่าเงินบาทกับคู่แข่ง พร้อมสั่งคลังทำข้อมูลรายการสินค้าที่จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้มาก เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ...
เมื่อวันที่ 20 ม.ค. นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รายงานให้ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจรับทราบถึงสถานการณ์ค่าเงินบาท ว่า ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นหลุดกรอบ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หรือแข็งค่าขึ้น 1.5% แต่เมื่อเทียบกับค่าเงินประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ ยังถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง ยังไม่ค่อยหนักใจมาก โดยค่าเงินวอนของเกาหลีแข็งค่ามากสุด ส่วนเงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ซึ่ง ธปท.ยืนยันว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นยังไม่ส่งผลกระทบแต่อย่างใด พร้อมแจ้งที่ประชุมว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.25% อีกทั้งยังรายงานว่าขณะนี้เศรษฐกิจโลกและไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีเม็ดเงินไหลเข้า อัตราเงินเฟ้อในเดือนธ.ค.ดีขึ้น การบริโภคภายในประเทศดีขึ้น ส่วนใหญ่มาจากราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ธปท.จะติดตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจทั้งของโลกและประเทศอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง ยังได้รายงานว่า การประมาณการรายได้ตลอดปีงบประมาณ 2553 จะจัดเก็บรายได้จำนวน 1,542,650 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 192,650 ล้านบาท คิดเป็น 14.3% หรือ สูงกว่างบประมาณปี 2552 จำนวน 128,322 ล้านบาท (งบประมาณปี 2552 อยู่ที่ 1,414,328 ล้านบาท หรือคิดเป็น 9.1%) เนื่องจาก การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจส่งผลให้การจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นประกอบกับ ในเดือน พ.ค. 2552 รัฐบาลได้ปรับเพิ่มอัตราภาษีน้ำมัน สุรา เบียร์ และยาสูบ ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง โดยในระหว่างการรายงานของกระทรวงการคลัง
นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งว่า กระทรวงการคลัง ควรจะไปทำข้อมูลว่าสินค้ารายการใดที่จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้เพิ่มมากขึ้น เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ประมวลผล และนำไปสู่การวางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจต่อไปด้วยส่วนรายจ่ายคาดว่าปี 2553 รัฐบาลจะสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ 94% ของวงเงินงบประมาณ หรือคิดเป็นจำนวน 1,598,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับการเบิกจ่ายงบประมาณปีก่อนๆ อีกจำนวน 158,000 ล้านบาท จะทำให้รัฐบาลมีรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 1,756,000 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อน 8.4% ส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณจำนวน 213,350 ล้านบาท และขาดดุลเงินสด 213,350 ล้านบาท (ก่อนกู้ชดเชยการขาดดุล)
ทั้งนี้ การชดเชยการขาดดุลรัฐบาลจะกู้เงินทั้งสิ้น จำนวน 350,000 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดหลังกู้เกินดุล 136,650 ล้านบาท ดังนั้น เงินคงคลัง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2553 เท่ากับ 430,485 ล้านบาท สูงกว่าเงินคงคลังเมื่อต้นปีงบประมาณที่มีทั้งสิ้นจำนวน 136,650 ล้านบาท ส่วนการจัดเก็บรายได้ ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ 2553 ( ต.ค.- ธ.ค. 52 รัฐบาลมีรายได้สุทธิ 348,169 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการงบประมาณ 66,864 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 23.8 เป็นผลจากการบริโภคและนำเข้าฟื้นตัวต่อเนื่อง และการจัดเก็บภาษีของ 3 กรมหลักสูงกว่าที่ประมาณการไว้ ส่วนการเบิกจ่าย มีจำนวนทั้งสิ้น 451,175 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 98,783 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุล 76,310 ล้านบาท ทำให้ดุลการคลังของรัฐบาลขาดดุล 175,093 ล้านบาท
ที่มา : ไทยรัฐ *******************************************************
|