Username:

Password:



  • หน้าแรก
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • ปฏิทิน
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
  • กลับหน้าร้านค้าออนไลน์
หน้าร้านดีดี บอร์ด ห้องพูดคุยทั่วไป ห้องข่าว (ผู้ดูแล: ka1, jacky, okay) เสียงใสๆภัยร้ายทำลายแก้วหู
หน้า: [1]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
ส่งหัวข้อนี้พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เสียงใสๆภัยร้ายทำลายแก้วหู  (อ่าน 5462 ครั้ง)
jacky
Global Moderator
Full Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 249


เสียงใสๆภัยร้ายทำลายแก้วหู
« เมื่อ: มกราคม 25, 2010, 07:08:38 PM »

เสียงใสๆภัยร้ายทำลายแก้วหู

คมชัดลึก : วัยรุ่นสมัยนี้นอกจากจะชอบฟังหูซ้ายทะลุหูขวาแล้วยังมีงานอดิเรกติดหูอีกอย่างคือการฟังเพลงและคุยโทรศัพท์เป็นชีวิตจิตใจกันเกือบทุกคน ดูแล้วก็เป็นเหมือนเรื่องปกติทั่วไปแต่หารู้หรือไม่ว่าภัยจากเสียงอันไพเราะนั้นก็มีมากเช่นกัน
ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขออกมาเตือนวัยรุ่นไทย ว่าการฟังเพลงดังๆ จากโทรศัพท์และเครื่องเล่นดิจิทัลต่างๆ ในระดับเสียงที่ดังเกินไปจะทำให้มีอาการหูอื้อและหูตึง โดยผู้ใช้เอ็มพี 3 ร้อยละ 5-10 ทั่วโลกกำลังมีความเสี่ยงที่น่าเป็นห่วงมาก จึงไม่วายเดือดร้อนถึงเหล่าเซเลบรุ่นใหม่ที่รักการคุยและฟังเป็นชีวิตจิตใจ พลอยต้องใส่ใจสุขภาพหูตัวเองด้วยเช่นกัน

 เริ่มต้นด้วยวัยรุ่นเสียงใสอย่าง “น้ำหวาน” ภาวดี อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่เจ้าตัวก็แอบบอกว่าแต่ก่อนเป็นคนติดการฟังเพลงโดยใช้หูฟังและโทรศัพท์บ่อยอยู่เหมือนกัน แม้ตอนเด็กคุณพ่อคุณแม่จะคอยเตือนไม่ให้ฟังไอพอดเสียงดังมากเพราะจะทำให้หูหนวก แต่ตัวเองก็ไม่ได้สนใจพอโตมาแล้วเริ่มสังเกตว่าตัวเองฟังเพลงได้สักพักแล้วจะปวดหู จึงรู้ว่ามันก็มีผลกระทบกับร่างกายของเราจริงๆ

 “ตอนนี้ก็เลยหันมาดูแลตัวเองโดยการหลีกเลี่ยงสถานที่เสียงดังๆ เช่นการไปดูคอนเสิร์ตโซนหน้าๆ ที่ติดลำโพงมากๆ ก็หันมาฟังเพลงผ่านเครื่องเสียงในรถแทนหรือที่บ้านแทน แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ไม่สามารถลดได้คือ การคุยโทรศัพท์ เพราะต้องติดต่อคุยงานเป็นประจำ แต่จะพยายามลดระยะเวลาในการใช้โดยการคุยแต่เรื่องที่จำเป็นเท่านั้น” น้ำหวานกล่าวถึงวิธีการป้องกันตัวเองจากภัยของเสียงดัง

 ด้านเซเลบริตี้หนุ่มรุ่นใหม่ “มิค” ณัฏฐกรณ์ ชุณหะวัณ เล่าให้ฟังว่าในอดีตชอบฟังเพลงผ่านหูฟังและเครื่องเล่นต่างๆ ให้ดังๆ เพื่อความสนุก จนเริ่มรู้สึกว่ามีปัญหาทางหูจึงเปลี่ยนมาฟังเพลงจากเครื่องเล่นซีดีและคอมพิวเตอร์ให้เบาๆ สบายๆ แทน ซึ่งบางครั้งก็ฟังเพลงผ่านเครื่องเล่นไอพอดบ้าง แต่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะอยากเปิดให้คนรอบข้างได้ฟังไปพร้อมๆ กันมากกว่า

 “เชื่อว่าใครๆ ต่างก็ชอบฟังเพลงทั้งนั้นโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่มักเปิดแต่เพลงเสียงดังๆ เพราะคิดถึงแต่ความเมามันเพียงอย่างเดียวซึ่งน่ากลัวมาก ก่อนจะทำอะไรต้องคำนึงถึงสุขภาพร่างกายของตัวเราบ้าง ขณะที่การพูดคุยทางโทรศัพท์เองก็ให้ลดลงและอาจเปลี่ยนมาแชทผ่านอินเทอร์เน็ตเหมือนมิค เพราะวิดีโอลิงก์และฟังก์ชันที่ทันสมัยต่างๆ จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการคุยและสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายไปในตัวด้วย” เซเลบมิคกล่าว

 “เนวี่” ปิยาภา แดงเทศ กล่าวถึงกิจวัตรในการฟังเพลงว่า โดยปกติจะฟังเพลงทุกๆ วันและฟังไปเรื่อยๆ ผ่านคอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นวิทยุ และไอพอดตามแต่โอกาส แต่ส่วนใหญ่จะฟังเพลงเฉพาะเวลาพักผ่อนที่บ้านและอยู่ในรถเท่านั้น เพราะถ้าออกไปนอกบ้านมักจะสนใจทำกิจกรรมอย่างอื่นมากกว่า  ซึ่งบางครั้งก็ชอบฟังเพลงก่อนนอนบ้าง แต่ด้วยความกลัวก็มักจะถอดหูฟังออกก่อนที่จะเผลอหลับไป และจะไม่เปิดเพลงเสียงดังเพราะรู้สึกหูอื้อทุกครั้งที่ฟังเสร็จ

 “อยากให้เพื่อนๆ วัยรุ่นที่ชอบฟังเพลงระมัดระวังตัวเองให้มากๆ ข่าวหรือคำเตือนจากคนรอบข้างเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจให้มากที่สุด เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง การฟังเพลงเสียงดังนั้น นอกจากจะทำให้เกิดอันตรายต่อแก้วหูของเราแล้ว ยังเป็นการรบกวนคนรอบข้างด้วย เพราะคนที่ใส่หูฟังส่วนใหญ่มักไม่ค่อยรู้ตัวว่าเสียงเพลงที่ฟังนั้นอาจดังจนสร้างความรำคาญให้คนอื่นได้” เนวี่กล่าว

 ปิดท้ายด้วยคำแนะนำดีๆ จาก นพ.สมเกียรติ ศิริรัตนพฤกษ์ ผู้อำนวยการสำนักโรคประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค  กล่าวถึงปัญหานี้ว่า วัยรุ่นในปัจจุบันมักฟังเพลงผ่านทางหูฟังรูปแบบต่างๆ แต่ที่นิยมมากที่สุดคือ แบบแยงเข้าไปในรูหู เพราะมีขนาดเล็กและพกพาสะดวก การฟังเพลงจากหูฟังชนิดนี้ ทำให้ลำโพงอยู่ใกล้กับประสาทรับเสียงในหูมาก จึงถือเป็นหูฟังที่อันตรายมากกว่าประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะเพลงที่มีจังหวะแรง เร็ว เสียงเบสกระแทกหู หากฟังเป็นเวลานานๆ ก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้น

 “หากฟังเพลงที่มีความดังเกิน 80 เดซิเบลเป็นเวลานานๆ จะค่อยๆ ทำให้ประสาทหูเสื่อมลงเรื่อยๆ จนเกิดอาการหูตึง ต้องฟังเสียงดังขึ้นอีกเรื่อยๆ ขณะที่ฟังเสียงดังมากกว่า 110 เดซิเบล จะมีทำให้เกิดภาวะหูตึงแบบถาวร เมื่อเป็นแล้วไม่สามารถรักษาให้หายได้ เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ยังชอบเสียบหูฟังเพลงตลอดเวลาไม่เว้นเวลานอน ซึ่งทำให้แก้วหูต้องทำงานตลอดเวลา เมื่อตื่นมาก็จะรู้สึกหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน ส่งผลให้กลายเป็นคนอารมณ์ร้ายถึงก้าวร้าว เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง ตลอดจนเป็นอันตรายต่อการขับขี่ยวดยานพาหนะด้วย” หมอสมเกียรติกล่าว

 เรื่อง / ประณีต วรรณวิภูษิต, ณุวภา ฉัตรวรฤทธิ์
***************************************
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
ส่งหัวข้อนี้พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.10 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
Nt-Sun Theme by N a t i
กำลังโหลด...