
ประวัติ หลวงพ่อเงิน 8.
มูลเหตุแห่งการสละโลกีย์วิสัย ของหลวงพ่อเงิน (ต่อ)
เพราะเหตุที่หลวงพ่อเงินเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านชาวเมืองทั่วไป ทั้งพระเณรในวัดก็เคารพบูชา การปกครองพระภิกษุสงฆ์ในวัดจึงไม่มีปัญหาอย่างใด แม้จะหย่อนด้านวัยวุฒิอายุยังน้อยอยู่ คนก็เรียกหลวงพ่อกันทั่วไป หลวงพ่อเป็นพระที่เคร่งครัดอยู่ในพระธรรมวินัยไม่เคยประพฤติย่อหย่อนเลี่ยงวินัยให้ใครเห็นเลย ไม่มีปมด้อยหรือจุดอ่อนอันจะต้องซ่อนเร้นปิดบัง หลวงพ่อมักน้อย สันโดษ ไม่โลภ ไม่สะสมทรัพย์ไว้เป็นของส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย ไม่เคยแม้แต่จะคิดโลภเอาไว้เพื่อเห็นแก่วัดก็ไม่ปรากฏ จิตใจก็เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตา เผื่อแผ่ แบ่งปัน ช่วยเหลือคนทุกคนด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ทำเพื่อจะเอาหน้าเอาซื่อ หรือเอาพวก หรือมีเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายอะไรทั้งสิ้น พูดจากและปฏิบัติตนเปิดเผย ตรงไปตรงมา สม่ำเสมอ เคยอย่างไรก็อย่างนั้นคงเส้นคงวา หลักธรรมเรื่องที่พระพุทธองค์สอนไว้ เรื่อง สังคหวัตถุธรรม-เครื่องสงเคราะห์ผูกพันจิตใจคนนั้น ดูเหมือนหลวงพ่อจะมีอยู่ครบถ้วน ในจิตใจไม่บกพร่องเลยคือ
1.ทาน การให้ปัน
2.ปิยวาจา พูดจาเป็นที่รัก
3.อัตถจริยา ช่วยเหลือเกื้อกูล
4.สมานัตตตา วางตนสม่ำเสมอ คงเส้นคงวา ไม่มีขึ้นมีลงไปตามอำนาจ วาสนา ยศศักดิ์ หรืออารมณ์ สังคหวัตถุธรรมนี้ ดูแล้วมีอยู่ในตัวหลวงพ่อครบบริบูรณ์ไม่บกพร่องเลย
การได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์นั้น ท่านก็ไม่ได้ถือโอกาสเอาตำแหน่งนี้ กระทำการเพื่อประโยชน์ตนเองเลย ท่านทำการบวชกุลบุตร เพื่อพระพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่ได้เห็นแก่ลาภทางสักการะหรือชื่อเสียง ความเป็นใหญ่ หรือหาลูกศิษย์ลูกหาอะไรทั้งสิ้น สังเกตเห็นได้จากการรับคนเข้ามาบวช ท่านก็ตั้งกฎเกณฑ์ไว้ เป็นการพูดปากเปล่าบอกชาวบ้านให้รู้ทั่วกันว่า
"การที่จะเข้ามาบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้านั้นต้องเข้ามาอยู่วัดเสียก่อน เพื่อฝึกหัดอบรมให้มีนิสัยปัจจัยเสียก่อน จึงจะบวชเป็นพระได้ การบวชจึงจะเป็นเนื้อนาบุญ ได้กุศลผลบุญโดยแท้จริง" การสั่งสอนอบรมพระภิกษุหลวงพ่อก็พูดอยู่เสมอว่า
"พระภิกษุก็เหมือนเนื้อที่นา ต้องเป็นเนื้อนาดี ดินดี การหว่านพืชข้าวลงไป จึงจะได้ผลงอกงาม การเป็นพระเนื้อนาไม่ดี ก็ไม่มีใครเขาอยากจะหว่านพืช คือทำบุญให้ เพราะรังแต่จะสูยเสียเปล่า เป็นข้าวที่เฉา ม้าน หรือรวงลีบ ไม่ได้ผลอะไรตอบแทน"
"อีกอย่างหนึ่ง พระภิกษุมาบวชแล้วต้องเรียน จึงจะชื่อว่าบวชเรียน โดยแท้จริงตามคำโบราณ ไม่ได้เรียนเพื่อเอาประกาศนียบัตรเป็นเครื่องหมายรับรองคุณวุฒิเหมือนทางโลกที่เขาต้องการเอาไปอวดคน หรือนายเพื่อรับเข้าทำงาน การเรียนของพระสงฆ์เป็นการเรียนศึกษาพระธรรมวินัยให้รู้ไว้ตามภาวะตามหน้าที่การงานของตนเท่านั้น คือเป็นพระก็ต้องเรียนรู้เรื่องของพระให้เข้าใจ มิฉะนั้นก็จะได้ชื่อว่า บวชเสียผ้าเหลือง สึกก็เปลืองผ้าลาย"
หลังจากสวดมนต์ไหว้พระ ที่เรียกว่าทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นแล้ว หลวงพ่อก็อบรมพระ วิธีการอบรมก็พูดจาสนทนาธรรมกันตามธรรมดา ท่านค่อย ๆ พูดเลียบเคียงหว่านล้อม ทีละน้อย จนผู้ฟังเพลิน มีเกล็ดขำ ๆ เรื่องเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ มาเล่าประกอบ แล้วสุดท้ายก็วกเข้าหาจุดที่ตั้งใจสอน เช่นถ้าเห็นพระภิกษุรูปใดชอบเปลือยกายท่อนบน ตามปกตินิสัยของชาวนา ชาวไร่ ตามบ้านนอกเมื่ออยู่กับบ้าน ท่านก็จะเล่าอะไรต่ออะไรเกี่ยวกับเรื่องเปลือยกายเสียก่อน จึงจะถึงจุดว่า
"เป็นพระสงฆ์นั้นเป็นรูปกายที่ชาวบ้านเขายกมือพนมกราบไหว้ ถ้าปล่อยกายปล่อยตัวเหมือนชาวบ้านแล้ว ก็จะไม่มีอะไรให้อยู่ในฐานะอันชาวบ้านเขาจะกราบไหว้ได้ เขาก็จะหมดศรัทธาเลื่อมใสใน พระสงฆ์ และในพระรัตนตรัยด้วย การสังวรระวังอยู่ในวินัยจึงเป็นสมบัติของพระสงฆ์ เพื่อเขาจะได้ยกมือกราบไหว้ได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ"
แล้วหลวงพ่อก็จะเล่าเกล็ด เล่านิทาน เล่าชาดกให้ฟังประกอบเรื่องจนผู้ฟังเห็นดีเห็นชอบ ไม่เบื่อหน่าย และยินดีที่จะประพฤติปฏิบัติตาม
ในส่วนตัวของหลวงพ่อเอง ก็ตั้งอยู่ในวินัยเป็นตัวอย่างด้วย จนพระภิกษุที่บวชอยู่ในวัดดอนยายหอม เมื่อสึกออกไปก็เอาไปนินทาว่าร้ายหลวงพ่อไม่ได้เลย ไม่เหมือนพระบางวัด พอสึกออกไปก็เอาความไดของพระในวัด และของสมภารไปเล่านินทากันสนุกปาก เล่าเป็นนิทาน เรื่องเถรกับยายชีต่าง ๆ นานา เป็นเรื่องลามก จนคนไม่อยากเข้าวัด คนเล่าก็ไม่อยากหันหน้าเข้าวัด กลายเป็นคนเบื่อวัดเกลียดพระไปก็มี สรุปว่าพระก็ไม่เห็นมีอะไรดีวิเศษกว่าชาวบ้านเลย บางทีแย่กว่าฆราวาสก็มี เรื่องอย่างนี้พระพุทธศาสนาขาดทุนป่นปี้ แต่เรื่องอย่างนี้วัดดอนยายหอม ไม่มีเลย มีแต่เอาเรื่องคุณงามความดีของหลวงพ่อไปยกย่องสรรเสริญกันทั่วทุกตัวคน ชื่อเสียงของหลวงพ่อเงินจึงโด่งดังออกไปนอกวัดไกลออกไปทุกที เพราะว่ากลิ่นและสีของหลวงพ่อเหมือนกลิ่นและสีของดอกไม้อันหอมหวนทวนลมได้
หอมกลิ่นดอกไม้ที่ นับถือ
หอมแต่ตามลมรือ กลับย้อน
........................................................................................