
พรหมวิหารธรรม 1.
พรหมวิหารธรรม
พรหมวิหารธรรม แปลว่าสถานที่อาศัยสิ่งสถิตของพระพรหม มีลักษณะ 4 ประการ คือ
1.เมตตา รักใคร่อยากให้เขาเป็นสุข
2.กรุณา สงสาร อยากให้เขาพ้นทุกข์
3.มุทิตา ยินดีด้วย เมื่อเขาได้ดีมีสุข
4.อุเบกขา วางใจเป็นกลางได้ ในคนจนคนมี คนดีคนชั่ว มิตรและศัตรู เหมือนพระพุทธเจ้าวางใจเป็นกลางได้ในระหว่างพระราหุล โอรส กับพระเทวทัต ผู้คิดประทุษร้าย และช้างนาฬาคีรีที่วิ่งมาจะแทงพระองค์
ผู้ใดมีคุณลักษณะทั้ง 4 ประการนี้ อยู่ในจิตใจ หัวใจของท่านผู้นั้นก็จะเป็นวิหารธรรมที่มาสถิตอยู่อาศัยของพระพรหม (คำย่อว่า เม, กะ, มุ, อุ) และมีคาถาว่า นะ เมตตา, โม กรุณา, พุท มุทิตา, ธา อุเบกขา, ยะไมตรี ฯ เป็นคาถาเมตตามหานิยม
น้ำใจของหลวงพ่อเงินนั้น ผู้ใกล้ชิดก็จะแลเห็นได้ว่า เป็นที่สถิตของพระพรหม ได้จริงๆ เพราะหลวงพ่อมีน้ำใจเป็นพรหมวิหารจริง ๆ
วงศ์ญาติของหลวงพ่อ กับลูกศิษย์และคนอื่นไกลที่ไปหา หลวงพ่อมีน้ำใจต่อคนเหล่านั้นเสมอเหมือนกัน น้ำใจอันกว้างขวางดุจน้ำใจของพระพรหม แผ่ไปในคนทั้งหลายทั่วหน้า แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน หลวงพ่อเป็นพระที่มีเมตตาบารมีสูงมาก
"ฉันสอนคนไหน ก็สอนด้วยความเมตตา ฉันแผ่เมตตาแก่ทุกคน เจตนาดีต่อเขาอย่างแรงกล้า จนเป็นเมตตานุภาพ น้อมจิตของเขาให้มีแต่ความภักดี เกิดความเชื่อถือ จิตของเขาก็อ่อนโยนลง เราจะบังคับจิตของเขาให้ไปทางไหนก็ได้ เรื่องอำนาจจิตนี้ ฉันฝึกฝนมาแรมปี พอจะน้อมใจคนให้อ่อนลงได้"
"คนใดฉันสอนไม่ได้ แสดงว่าคนนั้นมีกรรมหนัก ไม่สามารถช่วยได้ จัดอยู่ในจำพวกที่เรียกว่า "เรียกไม่ลุกปลุกไม่ตื่น" ต้องปล่อยไปตามกรรม"
เรื่องแผ่เมตตานี้ หลวงพ่อพูดอยู่เสมอแม้แต่คนขนาดอ้ายเสือ หรือโจรหลวงพ่อก็บอกว่า
"ก่อนนอนให้แผ่เมตตาไว้ โจรผู้ร้ายมันก็สงสารเรา มันปล้นฆ่าเราไม่ลงหรอก"
"โจรจะปลื้นจะฆ่าเรา เราก็ว่า น่าสงสารจริงเจ้าโจรเอ๋ย ช่างโง่งมงาย ไม่รู้จักบาปกรรม"
"ถ้าพบนักเลงอันธพาล เพ่งมองเราอย่างไม่พอใจ แทนที่จะมองตอบด้วยสายตากล้าแข็ง คิดโกรธ คิดร้ายตอบ เราก็นึกสงสารเขา คิดว่าเขาเป็นมิตรเรา เขาคงจะเข้าใจผิดต่อเราจิตใจอันกล้าแข็งของเขาก็จะอ่อนลง คลายความดุดันโหดเหี้ยมลงได้"
เรื่องนี้ผู้เขียนเชื่อว่าจริง และการที่เราไม่คิดต่อสู้ หรือคิดประทุษร้ายตอบเขานั้น เขาย่อมพ่ายแพ้ภัยตัวเอง เขาย่อมได้รับโทษรับภัยเอง
ผู้เขียนจำได้ว่า วันหนึ่งถูกนักเลงอันธพาลวัยรุ่นคนหนึ่งเขม่น เข้ามายืนเทียบอยู่สักพักใหญ่ แล้วพูดว่า "อ้ายหยั่งงี้ มันต้องเอาให้หัวแตก" แต่ข้าพเจ้าทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่หันไปมองเลย เขาก็ไม่รู้จะหาเรื่องอย่างไร จึงเดินจากไป ต่อมาไม่กี่วัน เขาคนนั้นก็ถูกตำรวจจับในข้อหาก่อคดีวิวาทและดูเหมือนไปตายเสียในคุก
ประจักษ์พยานในเรื่องเมตตาพรหมวิหารของหลวงพ่อเงิน มีอยู่หลายเรื่อง จะขอนำมาเล่าสัก 2-3 เรื่อง ดังต่อไปนี้
1.ไอ้สังข์
มีลิงตัวหนึ่ง สีขนของมันค่อนข้างขาวเหมือนสีหอยสังข์ จึงทำให้หลวงพ่อเรียกมันว่า ไอ้สังข์ มันจะเป็นลิงของใครเอามาปล่อยหรือมาเองอย่างไร ไม่มีใครรู้ว่ามันมาแต่ไหน จะเป็นลิงเทวดาส่งมาส่งเสริมบารมีของหลวงพ่อเงินหรือว่ามันรู้โดยสัญชาตญาณของสัตว์ว่าหลวงพ่อเป็นที่พึ่งได้ หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ อยู่ ๆ มันก็เข้ามาอยู่ในวัดดอนยายหอม ทำให้ใคร ๆ นึกไปถึงลิงในครั้งพุทธกาลที่มาอยู่รับใช้ปรนนิบัติพระพุทธเจ้า หลวงพ่อเรียกมันว่า "ไอ้สังข์" เพราะสีขนของมันอ่อนคล้ายสีหอยสังข์ อ้ายสังข์มีนิสัยดี ไม่เป็นลิงหยาบโลนเหมือนลิงอื่น ใครจะไปมามันก็ไม่แยกเขี้ยวหลอกหรือทำร้ายใคร กินอยู่ก็ไม่ตะกละตะกราม ไม่สกปรก ที่พิเศษคือ มันรักหลวงพ่อมาก ตื่นเช้ามันจะคอยจ้องดูว่าหลวงพ่อตื่นหรือยัง ถ้าเห็นหลวงพ่อตื่นขึ้นมันก็จะดีใจ ตรงเข้าเกาะแข้งเกาะขา ส่งเสียงร้องเจี๊ยกจ๊าก เมื่อลูกศิษย์จัดสำรับภัตตาหารมาถวายหลวงพ่อ มันก็จะนั่งดูอยู่ห่าง ๆ คอยระวังแมวจะเข้ามากินอาหารสำรับกับข้าวของหลวงพ่อ แมวตัวไหนเดินเข้ามาใกล้ ๆ มันจะจับเหวี่ยงออกไปทันที ตัวมันจะนั่งไม่แตะต้องอาหารของหลวงพ่อเลย ใครจะตีมันก็จะวิ่งเข้าไปหมอบอยู่ที่เท้าของหลวงพ่อ
เรื่องที่ประหลาดอย่างยิ่งก็คือ ในวันพระ 8 ค่ำ เห็นหลวงพ่อขึ้นธรรมาสน์เทศน์ มันจะเข้าไปนั่งอยู่ใกล้ๆ นั่งสองขา ชูแขนขึ้น มือประสานวางอยู่ที่ตัก มองดูไม่ผิดกับคนแก่นั่งฟังเทศน์ มิหนำซ้ำยังหลับตาเสียด้วย
เวลาหลวงพ่อเดินทางไปไหน มันจะติดตามไปส่ง จนหลวงพ่อพ้นเขตวัด หลวงพ่อต้องไล่มันกลับ มันจึงจะกลับ
พอแดดร่มลมตก ตอนบ่าย ๆ มันจะขึ้นไปบนยอดต้นไม้ที่สูงสุดในวัด มองไปต้นทางเพื่อแลเห็นสีเหลือง ๆ เดินมา มันจำได้ว่าเป็นหลวงพ่อ มันก็จะรีบลงจากยอดไม้ลงไปรอรับหน้าหลวงพ่อทันที บางทีมันเดินเข้ามาในกอหญ้าเห็นหางไว ๆ หลวงพ่อไม่มองสบตามันมันก็จะนิ่งเสีย พอหลวงพ่อร้องเรียกไอ้สังข์ มันก็จะรีบวิ่งแน่วเข้าไปกอดแข้งกอดขาดีอกดีใจไม่ผิดกับลูกที่ได้พบพ่อแม่ มันผูกพันจงรักภักดีหลวงพ่อเสียจริงๆ
ในที่สุดมันก็ป่วยเป็นไข้หวัด คนเอายานัตถ์เป่ามันเข้า มันสำลักน้ำตาไหลในที่สุดมันก็ตายไป อ้ายสังข์มันเกิดมาเป็นพยานประดับบารมีของหลวงพ่อในเรื่องเมตตาพรหมวิหารธรรม ว่าแม้แต่ลิง ซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานมันก็ยังจงรักภักดีต่อหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อมีเมตตาต่อมัน
2.ไอ้ขาว
สัตว์เดรัจฉานอีกตัวหนึ่ง ที่เข้ามาเป็นสาวกประดับเมตตาบารมีของหลวงพ่อ ก็คือ "ไอ้ขาว" มันเป็นแพะตัวผู้ สีขาวตัวหนึ่ง
ก่อนที่แพะสีขาวตัวนี้จะมาปรากฏตัวอยู่ให้คนรู้เห็นนั้น คืนหนึ่งเวลาประมาณ 3 ทุ่มเศษ หลวงพ่อได้ยินเสียงแพะร้อง จึงให้พระภิกษุในวัดเอาตะเกียงไปส่องดู จนทั่วก็ไม่พบเห็นแพะที่ไหนสักตัวเดียว รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง จึงมีพระภิกษุจากต่างถิ่น 2 รูป เดินทางมานมัสการหลวงพ่อ ได้นำเอาแพะสีขาวมาด้วย 1 ตัว มีสีขาวบริสุทธิ์ทั้งตัว กีบเท้าสีแดงเข้ม รูปร่างสูงใหญ่กว่าแพะทั้งหลายที่เคยเห็น เมื่อมาถึงหลวงพ่อ เจ้าแพะขาวก็เดินเข้าไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อเพ่งมองดูมัน แพะขาวมันก็เพ่งมองดูหลวงพ่อ แล้วมันก็หมอบลงที่เท้าของหลวงพ่อ ใช้จมูกดมเท้าของหลวงพ่อ คล้าย ๆ กับแสดงความจงรักภักดี หรือฝากตัวอยู่กับหลวงพ่อเป็นที่อัศจรรย์ พระภิกษุทั้ง 2 รูป ถวายแพะให้หลวงพ่อไว้ หลวงพ่อก็รับแพะไว้ แพะตัวนี้มันรักใคร่หลวงพ่อมาก หลวงพ่อเดินไปไหน มันก็จะเดินตามไปเรื่อย ๆ แพะตัวนี้กลายเป็นสัตว์ประหลาดขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง เป็นแพะแสนรู้ เข้าไปในกุฏิกินผลไม้หมด แม้กล้วยหอม กล้วยไข่ที่คนเอามาถวาย พระลูกศิษย์ต้องคอยไล่ทุบตี มันก็วิ่งหนีไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ร้องห้ามว่า
"ช่างมันเถอะ มันหิวมันก็กินมั่ง"
บางวันเจ้าแพะตัวนี้มันเข้ามาหมอบอยู่หน้ากุฏิตรงหน้าหลวงพ่อ เวลาใครมาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อนั่งรับแขก มันก็มาหมอบฟังคนคุยกับหลวงพ่อ บางทีเวลาคนเขาเปิดวิทยุฟัง มันก็เดินแหวกคนเข้าไปนอนหมอบฟังวิทยุบ้าง หลวงพ่อก็เอาผ้ามาปูให้มันรองนอนอยู่ใกล้ ๆ ลำโพง วิทยุเสียด้วย เจ้าแพะตัวนี้ก็เลยติดนิสัยชอบฟังวิทยุ ฟังดนตรีจากวิทยุเหมือนคน หลวงพ่อเรียกชื่อมันว่า "ไอ้ขาว"
แต่ต่อมาในหน้าแล้ง ทางวัดดอนยายหอม ซึ่งแวดล้อมอยู่ด้วยทุ่งนาแตกระแหง ไม่มีหญ้าจะให้อ้ายขาวกิน มันก็ผ่ายผอมลง หลวงพ่อจึงตัดสินใจยกให้พระทางเขตอำเภอกำแพงแสนเอาไปเลี้ยง แพะขาวชื่อ อ้ายขาวตัวนี้ มันจึงเป็นสัตว์ประดับเมตตาบารมีของหลวงพ่อเป็นพยานถึงเมตตาบารมีของหลวงพ่ออีกเรื่องหนึ่ง