หลวงพ่อเงิน ตั้งโรงเรียนสหศึกษาบาลี
หลวงพ่อเงิน มิได้คิดการแต่เพียงภายในอาณาเขตของวัดดอนยายหอมเท่านั้น แต่หลวงพ่อคิดการโดยกว้างขวางออกไปนอกอาณาเขตของวัดด้วย หลวงพ่อเงินเห็นว่าเมืองนครปฐมเป็นเมืองต้นตระกูลแห่งการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแต่โบราณเมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว ประจักษ์พยานก็คือ พระปฐมเจดีย์สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.235 สมัยเมื่อพระโสณเถระ และพระอุตระเถระมาเผยแพร่พระพุทธศาสนา ณ เมืองท่าแห่งนี้
แต่ปัจจุบันนี้ ในเมืองนครปฐม ไม่มีสำนักศึกษาพระบาลีเลย พระมหาเปรียญที่เป็นคนเลือดเนื้อเชื้อไขคนนครปฐมไม่ค่อยมี หลวงพ่อจึงคิดว่าน่าจะหาทางส่งเสริมการศึกษาพระบาลีขึ้นจึงได้ปรึกษาหารือกับบุคคลสำคัญต่างๆ ไปตามจังหวะเวลาและโอกาสเหมาะเช่น น.ส.แอ๊ด กลกิจ นางสะอาด ตู้จินดา นายมาลัย บุญวัฒน์ และขุนเชาวน์ปรีชาศึกษากร เป็นต้น ท่านเหล่านี้ก็เห็นดีเห็นชอบ ปวารณาตัวว่าจะช่วยเหลือหลวงพ่อให้ทำการต่อไป หลวงพ่อจึงตกลง ตั้งโรงเรียนสหศึกษาบาลี ขึ้นที่วัดพระปฐมเจดีย์ เมื่อ พ.ศ.2494
ครั้นถึง พ.ศ.2496 ทางการคณะสงฆ์เห็นคุณงามความดีของหลวงพ่อ ที่เอาเป็นธุระในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ของจังหวัดเป็นส่วนรวม ไม่คิดเอาธุระอยู่แต่ภายในวัดดอนยายหอมเท่านั้น จึงได้แต่งตั้งท่านให้เป็นคณะกรรมการสงฆ์จังหวัด ในตำแหน่งเผยแพร่จังหวัดนครปฐมตามพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์สมัยนั้น ซึ่งแบ่งหน้าที่ออกเป็น ปกครองจังหวัด ศึกษาจังหวัด เผยแผ่จังหวัด สาธารณูปการจังหวัด มีเจ้าคณะจังหวัดเป็นประธาน น่าเสียดายที่การแบ่งงานบริหารการคณะสงฆ์ นี้ได้ถูกยกเลิกเสียโดยพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ฉบับต่อมาใน พ.ศ.2505 เหลือแต่เจ้าคณะจังหวัดเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้น
ทำหน้าที่เผยแผ่จังหวัด
งานในหน้าที่เผยแผ่พระธรรมวินัย หรือเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดานั้น อันที่จริงหลวงพ่อทำหน้าที่อยู่แล้วตามปกติ ถึงจะไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเผยแผ่จังหวัด หลวงพ่อก็เป็นเผยแผ่จังหวัดอยู่แล้วตลอดมา เพราะจะมีผู้ไปนิมนต์หลวงพ่อไปเทศน์ตามวัดวาอารามต่าง ๆ อยู่เสมอมา หลวงพ่อจึงเทศน์ทั้งในวัดและนอกวัด การเทศน์ของหลวงพ่อก็ทันสมัย ทันโลก จะนิมนต์ขึ้นเทศน์บนธรรมาสน์ หลวงพ่อก็ถือพระธรรมคัมภีร์เทศน์ใบลานไว้ในมือ หลับตาอ่าน หลับตาเทศน์ได้คล่องแคล่ว จะให้เทศน์ปากเปล่า หลวงพ่อก็เทศน์ได้แบบปาฐกถาธรรมะ ภาษาที่ใช้ ก็เป็นภาษาชาวบ้านพูดง่าย ๆ ตรงไปตรงมา พูดให้คนมองเห็นจริง มีแทรกถ้อยคำที่ขำขัน น่าขบน่าคิด น่าหัวเราะลงไปด้วย แต่หลวงพ่อมักจะพูดสำรวมวาจา ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดตลกคะนอง ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเยาะเย้ย ไม่พูดถากถาง ไม่พูดเสียดสี ไม่พูดยกตน ไม่พูดข่มท่าน ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดเหลวไหล ไม่พูดเลอะเทอะ ไม่พูดน้ำท่วมทุ่ง ไม่พูดตามอารมณ์เหมือนดังพระเปรียญบางองค์ บางรูปคำพูดหลวงพ่อเด็กฟังได้ ผู้ใหญ่ฟังดี ไม่พูดแบบคาดคะเน ไม่พูดแบบยกเมฆ ไม่พูดแบบข่าวเขาเล่าว่า จระเข้มาที่ท่าน้ำอะไรทำนองนี้ หลวงพ่อมีปฏิภาณเอาเหตุการณ์เฉพาะหน้าเฉพาะเรื่อง เฉพาะประชุมชน เฉพาะกาล เฉพาะสมัย ขึ้นมาพูดได้เสมอ มีประจักษ์พยานอยู่หลายเรื่อง จะพูดสอนนักโทษก็พูดได้ จะพูดสอนโจรก็พูดได้ จะพูดสอนพ่อค้าออกหวยเถื่อนก็ได้ จะสอนคนกำลังบ้าดีเดือด ถือมีดจะทำร้ายตนอยู่ก็พูดได้ จะพูดโต้ตอบบาทหลวงนอกศาสนาก็ได้ จะพูดจูงใจคนนอกศาสนาให้เห็น ให้เข้ามานับถือพุทธศาสนาก็ได้ จะพูดอวดของดีเมืองนครปฐมก็พูดได้ดีไม่มีใครเหมือน หลวงพ่อพูดออกมาแล้วมากมายนับหนไม่ถ้วน นับเรื่องไม่ถูก ไม่มีใครได้กำหนดจดจำไว้ได้ หลวงพ่อเองก็จะไม่ได้ว่าเทศน์เรื่องอะไร เทศน์ที่ไหน เทศน์ว่าอย่างไร มีแต่คนที่เคยฟังหลวงพ่อพูดก็จำได้กระท่อนกระแท่น นำมาเล่าสู่กันฟังบ้าง คนละนิดคนละหน่อย ดังจะได้เล่าต่อไปสักเรื่องหนึ่ง
หลวงพ่อพูดครั้งนี้ เป็นการพูดในตำแหน่งเผยแผ่จังหวัด ไปพูดที่วัดธรรมศาลา พูดให้คณะทอดผ้าป่า ซึ่งมีคุณหญิงประจญปัจนึก ภรรยาของพระยาประจญปัจนึกซึ่งเป็นหัวหน้าคณะนำมาทอด เพื่อสมทบทุนสร้างโรงเรียนเมื่อปี พ.ศ.2497 มีคนฟังประมาณ 600 คน ส่วนมากเป็นนักเรียน เรียกว่าหลวงพ่อเทศน์ให้เด็กนักเรียนชั้นประถมฟัง ซึ่งค่อนข้างพูดยาก ในการที่จะพูดให้เด็กวัยนี้ฟังได้
วันนั้นหลวงพ่อขึ้นธรรมาสน์เทศน์ปากเปล่าเรื่อง "ลูก 4 คน" ดำเนินความว่า
"เด็กที่โรงเรียนวัดธรรมศาลานี้มี 600 คน ถ้าได้รับการศึกษาดี มีความฉลาด มีความประพฤติดีเพียง 100 คน อีก 500 คนโง่ เป็นขโมยขะโจร อีก 100 คนนั้นจะมีความสุขได้อย่างไร จึงต้องช่วยกันทำให้เด็กอีก 500 คนนั้น ประพฤติดีมีความฉลาดด้วย จะทำให้เด็กเป็นคนดีต้องให้การศึกษาอบรม มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นลูก 4 ลูก ต่อไปนี้
1. ลูกลาก ลูกชนิดนี้เป็นลูกลากพ่อแม่ใช้พ่อแม่ก็ต้องลากโครงเลี้ยงลูกไป เติบโตขึ้นก็ลากเอาแต่ความทุกข์ร้อนมาให้ เอาความฉิบหายมาสู่พ่อแม่ ลูกอย่างนี้ทำให้พ่อแม่มีเคราะห์กรรม
2. ลูกหลง พ่อแม่คู่หนึ่งมีลูก 2 คน คนหนึ่งเป็นหญิง คนหนึ่งเป็นชาย ลูกชายไปได้เมียอยู่ฟากตรงข้าม แม่ป่วยหนัก ลูกชายก็ไม่มาเยี่ยม น้องสาวต้องไปตาม เอาเรือไปรับจึงข้ามฟากคลองมาดูใจแม่จึงสั่งเสียก่อนตายว่า
"ลูกเอ๋ย ลูกมาก็ดีแล้ว แม่กำลังจะจากลูกไปอย่างไม่มีวันกลับ แม่เห็นจะไม่ได้อยู่ดูแลความทุกข์สุขของลูกต่อไปแล้ว แม่ขอฝากน้องด้วย ขอให้ตั้งใจทำมาหากิน เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียให้ดี" แม่ ยังสั่งไม่ขาดคำ ฝั่งโน้นก็ตะโกนเรียกมาว่า เมียเจ็บท้องจะคลอดลูก ลูกชายก็กระโดดน้ำว่ายข้ามคลองไปหาเมียเสียแล้ว ลูกอย่างนี้คือลูกหลง คือหลงไปว่าคนอื่นดีกว่าแม่หลงเมียจนลืมแม่ แม่ป่วยต้องเอาเรือไปรับ จึงมาเยี่ยมแม่ เมียเจ็บท้องก็ข้ามน้ำไปเองโดยไม่ต้องเอาเรือรับ ทั้ง ๆที่แม่เจ็บจวนตาย เมียเพียงแค่เจ็บท้อง
3. ลูกเลิก คือลูกที่เบียดเบียนพ่อแม่ พ่อแม่มีอะไรก็จะเอาเสียให้หมด เมื่อได้ข้าวของไปจนพ่อแม่หมดเนื้อหมดตัวแล้ว ลูกก็หายหน้าไป ครั้นพ่อแม่จะพึ่งพาอาศัยบ้างก็ไม่ได้ มีความรังเกียจ เลิกเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกันตอนหมดทรัพย์สมบัตินี่เอง
4. ลูกหลีก คือลูกที่เห็นแก่ตัวจัด เอาเปรียบพ่อแม่ เมื่อไม่มีเงินทอง หรือขนมติดมือมาก็แวะบ้านพ่อแม่ พ่อแม่มีอะไรก็หยิบกินฉวยกิน ถือว่าเป็นบ้านพ่อแม่ มีอะไรก็หยิบเอาไป ถือว่าเป็นของลูก แต่พอตัวมีเงินทอง ทรัพย์สิน ก็หายหน้า กลัวพ่อแม่จะไปเบียดเบียน มีขนมติดมือมาก็อุตส่าห์เดินหลีกบ้านพ่อแม่ไปเสีย รีบหลีกหนีเอาไปฝากลูกเมีย จะแวะบ้านพ่อแม่ก็กลัวว่าจะต้องแบ่งให้พ่อแม่กิน ลูกอย่างนี้เรียกว่าลูกหลีก
พอเทศน์จบเรื่องลูก 4 ลูก คุณหญิงประจญปัจนึก ก็ยกมือขึ้นสาธุ ร้องว่า
"สาธุ หลวงพ่อเทศน์มีคติดีแท้ ๆ"
จะเห็นว่าการเทศน์ของหลวงพ่อนี้ เป็นเทศน์แบบปฏิภาณ เทศน์ให้เด็กฟังได้ เป็นอย่างดี เด็กก็ฟังกันรู้เรื่องดี เป็นที่จับใจตั้งแต่ต้นจนจบ
พระที่เทศน์ได้อย่างนี้ก็เห็นมีพระอริยสงฆ์อีกองค์หนึ่ง คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) มีคนไปนิมนต์ว่า ให้เทศน์เรื่องนักษัตร เพราะเขาฟังนายสั่งไม่เข้าใจ นายสั่งว่า ให้นิมนต์สมเด็จเทศน์เรื่อง "อริยสัจจ์" เขาก็ไปนิมนต์สมเด็จให้เทศน์เรื่อง "นักษัตร" เสีย สมเด็จท่านก็ไม่ว่ากระไร ไปถึงบ้านก็เทศน์ "ชวดฉันว่าหนู ฉลูฉันว่าวัว ไปตามลำดับ เอาธรรมะสอดแทรกและสรุปลงเป็นธรรมะ ว่าวันเดือนปีเคลื่อนคล้อยไป คนก็แก่และเจ็บตายกันไป เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การเวียนว่ายตายเกิด เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ จะดับทุกข์ได้ด้วย การบำเพ็ญบารมี 10 ประการ จะได้ไปเกิดในสวรรค์ชาติสุดท้ายก็จะได้เกิดเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี 10 ทัศ แล้วอุบัติเกิดในศาสนาพระศรีอาริย์ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ตายไปเกิดเป็นวิสุทธิเทพอยู่ในพระนิพพานเมืองแก้วไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายให้เกิดทุกข์เวทนาต่อไป"
ท่านก็เทศน์เข้าเรื่องอริยสัจจ์จนได้ นี่คือแบบอย่างการเทศน์ของพระโสดาบันบุคคลผู้ได้ธรรมจักษุ ได้ดวงตาเห็นแจ้งธรรมะปรุโปร่งตลอด
........................................................................................