ห้องสีชมพูที่มช.
โดยเฉพาะนศ.หญิงที่จะต้องพักที่หอ
8
โดยรุ่นพี่ที่เคยอยู่หอนี่จะบอกและย้ำเสมอว่า
เวลาจะเข้าห้องน้ำต้องเอาเพื่อนไปด้วยเสมอ
ห้ามลืมเด็ดขาด!!
นี่คือคำเตือนของรุ่นพี่ประจำหอ
ที่เพื่อนผมได้ฟังตอนปีหนึ่ง
แล้วรุ่นพี่อีกคนก็เล่าให้ฟังเกี่ยวกับประวัติของห้องสีชมพูนี้
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว
ปี2532 ของนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง
ซึ่งประเพณีหรือเรียกว่ากฏของ
มช.คือเด็กปีหนึ่งทุกคนต้องอยู่หอใน
เพื่อที่เวลาพี่เรียกมาทำกิจกรรมรับน้องจะได้พร้อมกันอย่างรวดเร็ว
ส่วนคนที่อยู่เชียงใหม่ส่วนมากจะกลับบ้านเย็นวันศุกร์(ถ้าวันเสาร์รุ่นพี่ไม่นัด)กลับเข้าหอก่อนเย็นวันอาทิตย์
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อรุ่นพี่ต่างคณะเกิดมาชอบนศ.หญิงน้องใหม่คนหนึ่ง
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่นับวันยิ่งดูรักกันมากขึ้นทุกวันจนมาถึงกลางเทอม
รุ่นพี่คนนี้เลยชวนนศ.หญิงไปอยู่ด้วยกันที่หอหลังมช.
ทุกเย็นวันศุกร์หน้าหอ 8 จะมีรุ่นพี่คนนี้มาจอดรถรอนศ.หญิงคนนี้ทุกครั้ง
และจะมาส่งตอนเย็นวันอาทิตย์ทุก
ครั้ง
เป็นไปอย่างนี้เกือบจะ 5 เดือนจนเป็นที่อิจฉาของเหล่านศ.หญิงที่หอนั้น
ใครเห็นก็ต่างพูดแซวอยู่ตลอดเวลา
ทำให้นศ.หญิงรู้สึกดีใจและรักรุ่นพี่คนนี้มาก
แต่ต่างกันรุ่นพี่คนนี้เริ่มที่จะตีตัวออกห่าง เพราะรู้สึกว่านศ.หญิงคนนี้
เริ่มที่จะจริงจังกับตนเองมากเกินไป
แล้ววันที่นศ.สาวคนนี้เสียใจที่สุดและได้สร้างตำนานอันลือลั่นก็มาถึง
เย็นวันศุกร์ที่รุ่นพี่จะต้องมารับเป็นประจำทุกครั้ง..แต่วันนี้รุ่นพี่มาถึงก็ดึกมากแล้ว
นศ.หญิงเลยถามว่าทำไมมาดึกซึ่งหลายคนก็บอกว่าเพราะรุ่นพี่คนนั้นไปติดพันหญิงอีกคนอยู่
นศ.หญิงคนนี้ได้ยินแล้วก็เก็บไว้ในใจตลอดไม่กล้าที่จะถามเพราะกลัวเสียคนรักไป
และเธอก็บอกกับรุ่นพี่คนนี้ว่ามีเรื่องที่จะพูดด้วย
เป็นเรื่องสำคัญมาก
รุ่นพี่คนนี้ก็บอกให้ไปคุยกันที่หอ
หญิงสาวคนนี้ก็เลยซ้อนรถไปแล้วก็คุยขณะที่ซ้อนรถอยู่
บอกว่าตนเองตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนแล้วพอได้ยินแค่นั้นรุ่นพี่คนนี้ก็จอดรถทันที
แล้วก็ถามย้ำว่าเมื่อกี้พูดว่าอะไร หญิงสาวเลยย้ำไปว่าตังครรภ์ได้ 3
เดือนแล้ว
รุ่นพี่คนนี้ไม่รับผิดชอบหาว่า หญิงสาวนอกใจไปคบชายอื่น
พอท้องแล้วจึงมาอ้างว่าตนเป็นคนทำ
รุ่นพี่คนนี้ขอบอกเลิกเธอในทันที และปล่อยให้เธอเดินจากหลัง
มช.กลับมาที่หอตามลำพัง
ระหว่างทางหญิงสาวก็คิดเรื่องที่เกิดขึ้น
ทั้งความรู้สึกเสียใจปนความเคียดแค้นต่อชายหนุ่มที่ทิ้งเธอไป
บวกกับกลัวทางบ้านจะรู้ความจริงและทำให้พ่อแม่ผิดหวัง
ทำให้เธอตัดสินใจเอาเด็กออก
แต่เธอไม่กล้าพอที่จะไปที่โรงพยาบาลหรือบอกให้ใครทราบ
พอมาถึงห้อง เมทร่วมห้องไม่อยู่เพราะกลับบ้านกันหมด
เธอเลยเอาเด็กออกด้วยตัวเอง
โดยการเอาไม้บรรทัดเหล็กกระทุ้งจนมดลูกฉีก
เธอทำไปโดยไม่รู้วิธีการที่ถูกต้อง
ทำให้เธอเกิดอาการตกเลือดอย่างรุนแรง
ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตเธอได้เขียนข้อความไว้บนกำแพงห้องนั้นว่า
"กูมีมึงคนเดียว"
วันรุ่งขึ้นเมทร่วมห้องก็เข้ามาที่หอด้วยท่าทีวิตกกังวล
และได้ไปที่ห้องพักที่เธอได้พักกับหญิงสาวคนนี้
ก็ได้พบกับศพของหญิงสาว
รอยเลือดกระจัดกระจายและข้อความบนกำแพงจึงแจ้งให้ป้าผู้คุมหอทราบ
ก็ได้มีการสอบสวนเมทคนนี้
ว่ารู้ได้อย่างไรว่าเพื่อนเสียชีวิต
เมทคนนี้ก็บอกว่าเมื่อคืนฝันเห้นเพื่อนมาบอกลา
และให้ไปเอาศพที่ห้องลงมาด้วย
แถมยังฝากบอกป้าคุมหออีกว่า
ห้ามใครก็ตามมายุ่งกับห้องของเธอ
หลังจากจัดการเรื่องศพและงานศพเรียบร้อยแล้วนั้น
ก็ได้มีการทำความสะอาดห้องนั้นโดยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ด
รอยเลือดให้สีจางลง
เปลี่ยนที่นอนและผ้าปูที่นอนใหม่จนห้องเกือบจะสะอาดเหมือนเดิม
แต่รุ่งขึ้นสิ่งที่ทำให้ทุกคนขนลุกก็คือ
ทั้งรอยเลือดและข้อความที่หญิงสาวคนนั้นทิ้งไว้ไม่ได้หายไป
แต่รอยเลือดกลับเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
ทางหอเลยพิจารณาเอาสีใหม่มาทาทับไม่ให้เห็นรอยเลือด
แต่แล้วพอวันรุ่งขึ้นรอยต่างๆก็กลับมาอยู่ดังเดิมเหมือนกับไม่ได้มีการนำสีมาทาแต่อย่างใด
ทางหอเลยได้เชิญพระที่วัดฝายหินมาทำพิธี
แต่พระท่านบอกว่าทำพิธีไล่ไปคงไม่ได้เพราะวิญญาณนี้เฮี้ยน
มาก
เพราะยังมีความอาฆาตและมีลูกในท้องอีกด้วย
เลยได้แต่ทำการสะกดวิญญาณไม่ให้ไปหลอกคนในหอ
หลังจากทำพิธีสะกดวิญญาณเรียบร้อยแล้ว
ทางหอก็ได้ทาสีห้องใหม่แต่คราวนี้ใช้สีชมพู
เพราะจะได้มองไม่เห็นคราบเลือดบนกำแพง
จนกลายมาเป็นตำนานห้องสีชมพูจนถึงเดี๋ยวนี้
ปัจจุบันนี้ผมไม่ทราบนะว่าห้องนั้นใช้ทำอะไร แต่ตอนที่เพื่อนผมอยู่ที่หอ
8 นั้น
เพื่อนบอกว่าห้องนั้นใช้เป็นห้องเก็บของที่ไม่ใช่แล้ว
เพราะไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปได้แต่โยนๆของเข้าไป
เท่านั้น
เพราะเคยมีแม่บ้านเข้าไปแล้วออกมาไม่ได้เพราะประตูถูกล็อค
ทั้งๆที่ลูกบิดและที่ล็อคห้องนั้นมันล็อคจาก
ด้านใน
ส่วนเหตุการณ์ที่เพื่อนผมเจอนะ
อยากรู้ไหมถ้ากล้าพอจะอ่านก็อ่านเลย
ห้องสีชมพูนี้จะอยู่ที่ชั้น 2 ของถ้ามองจากด้านหน้าหอ 8 จะอยู่ฝั่งซ้ายไม่แน่ใจว่าเป็นห้องเลขอะไร
ตอนนั้นทั้งแถบนั้นไม่มีนักศึกษาอยู่ใกล้ห้องนั้นแม้แต่คนเดียว
เพราะกลัวเกี่ยวกับประวัติห้องสีชมพูนั้นมาก
แต่เพื่อนผมเล่าให้ฟังว่ามีนศ.หญิงท่าทางออกผู้ชายคนหนึ่งดูเหมือนจะไม่เชื่อกับเรื่องที่เล่าเท่าไหร่
เลยบอกว่างั้นถ้าไม่มีใครอยู่จริงๆ ขออยู่ใกล้ๆห้องนั้นแหละ
เพราะเงียบดีจะได้ไม่มีใครรบกวน
ป้าผู้คุมหอตอนนั้นก็เลยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
เพราะลงชื่อห้องไปแล้วจะเปลี่ยนไม่ได้
เพราะห้องจะไม่ว่างพอที่จะรับแน่ๆ
นศ.คนนั้นก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะอยู่ที่แถบนั้นแหละ
ห้องไหนก็ได้
ป้าเขาเลยให้ตรงชั้น 2 ห้องของนศ.หญิงคนนี้อยู่ถัดจากห้องสีชมพูไปอีก 2 ห้อง
อยู่ใกล้ๆห้องน้ำ
(หอหญิง 8 ห้องน้ำจะเป็นห้องน้ำรวมจะอยู่สุดทางฝั่งขวาถ้านับจากด้านหน้าตึกก็จะอยู่ลึกสุดของแต่ละชั้น)
นศ.คนนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวอะไร
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ตอนที่รับน้องอยู่เพื่อนผมก็ถามว่าเจออะไรแปลกๆบ้างไหม
นศ.คนนี้ก็ตอบว่าไม่เจอนี่
เรื่องที่รุ่นพี่เล่าให้ฟังนะอย่าไปเชื่อมากเลยแต่งขึ้นมาให้รุ่นน้องกลัวทั้งนั้นแหละ
และหลังจากรับน้องเสร็จคืนนั้นเอง หอ 8 หญิงก็ต้องตื่นกันทั้งหอตอนตี 2
เพราะได้ยินเสียงกรี๊ดของนศ.คนนี้ดังลั่น ป้าผู้คุมหอ
รปภ.หน้าประตูหอและนศ.ทั้งหมดต่างออกมาดูว่า
เกิดอะไรขึ้น
เพื่อนผมก็เดินขึ้นไปดูตามป้าเจ้าของหอและรปภ.จะเปิดประตูแต่ประตูห้องล็อค
ป้าผู้คุมหอก็เลยบอกว่าเปิดประตูห้องสิ มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ
เป็นอะไรรึเปล่า
นศ.คนนี้ก็ตะโกนออกมาบอกว่าประตูไม่ได้ล็อค
แต่มีผู้หญิงคนนี้ดึงประตูไว้อยู่
พูดแค่นั้นทั้งป้า
ผู้คุมหอ
รปภ.และเพื่อนผมพร้อมกับนศ..หญิงอีกหลายคนรีบวิ่งแทบจะไม่ทัน
แต่พอวิ่งกำลังจะลงมา ประตูห้องก็เปิดออกเอง
นศ.หญิงคนนั้นสลบคาห้องต้องเอามาปฐมพยาบาลข้าง
ล่าง
โดยเพื่อนผมบอกว่ากว่าจะเข้าไปเอาตัวออกมา
ป้าผู้คุมหอต้องไปเอาองค์พระพุทธรูปที่หิ้งพระขึ้นมาเลยที
เดียว
ส่วนรปภ.ก็ต้องเอาสร้อยพระออกมาถือชูไว้ด้านหน้า
แล้วค่อยๆอุ้มนศ.คนนั้นออกมาโดยให้นศ.ช่วยกันดันไม่ให้ประตูปิด
พอปฐมพยาบาลเสร็จแล้วนศ.คนนั้นฟื้นขึ้นมาก็เอาแต่ร้องไห้บอกว่าจะลาออกไปเรียนที่อื่น
จนตอนเช้าพ่อแม่ก็บินมาจากกรุงเทพมาหาที่หอพัก
แล้วให้นศ.คนนี้มาเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
เพราะพ่อแม่นศ.คนนี้ไม่เชื่อว่าลูกถูกผีหลอกน่าจะโดนเพื่อนแกล้งมากกว่า
นศ.คนนี้เลยเล่าให้ฟังว่าตอนที่อ่านหนังสืออยู่
ก็ได้ยินเสียงคนหายใจใกล้ๆหู
จากนั้นก็ได้ยินเสียงขาเตียงเลื่อนเหมือนมีคนนั่ง
แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะคิดว่าอาจจะเป็นเสียงจากด้าน
ล่าง
ซักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนคนหายใจไม่ออก
แล้วก็ไอเบาๆ
ก็เริ่มที่จะกลัวขึ้นมานิดๆปนกับความสงสัยและอยากรู้
เลยพูดออกไปว่า "อยู่ห้องใกล้ๆกันออกมาให้เห็นเลยดีกว่าไหม"
แค่นั้น ก็ได้ยินเสียงเล็บขูดกับกำแพงรอบๆห้อง
รอบแล้วรอบเล่าจนทนไม่ไหวจะวิ่งออกจากห้อง
แต่พอหันไปทางประตูแค่นั้น
ก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งใส่ชุดนอนสีเหลืองครีมมีเลือดออกมาทาง หู ตา
จมูก
ปาก และช่องคลอด
ยืนจ้องหน้าพร้อมกับพูดว่า "อยากเจอไม่ใช่เหรอ
มาหาแล้วนี่ไง"
ตนเองจึงร้องออกไปอย่างสุดเสียงก็เห็นหญิงสาวคนนั้นหัวเราะและมองมาทางตนเอง
แล้วก็ได้ยินเสียงป้าคุมหอบอกให้เปิดประตูแต่ตนไม่ได้ล็อค
พอบอกไปว่ามีหญิงสาวคนนี้ยืนจับประตูอยู่แค่นั้น
หญิงสาวคนนี้ก็หัวเราะแล้วเดินทะลุกำแพงห้องข้างๆไป
เลย
จากนั้นประตูก็เปิดออกเองแล้วตนเองก็สลบไป
พ่อแม่นศ.คนนี้ได้ฟังยังไม่อยากเชื่อเลยขอดูห้องสีชมพู
แต่เพียงแค่อยู่ด้านล่างแล้วมองขึ้นไป
ยังไม่ทันได้ไปถึงห้อง ก็เห็นนศ.เจ้าของห้องสีชมพู
ยืนที่หน้าต่างให้เห็นด้วยใบหน้าโชกเลือด
ทั้งพ่อแม่และนศ.คนนั้นเลยรีบออกจากหอพักนั้นทันที
และได้ย้ายไปเรียนที่กรุงเทพ
ส่วนชั้นนั้นก็ไม่มีใครกล้าไปอยู่ใกล้ๆห้องนั้นเลยตลอด 4 ปีที่เพื่อนผมเรียนอยู่
และเพราะบ้านเพื่อนผมอยู่ต่างจังหวัด เลยพักแต่หอใน
แล้วเพื่อนบอกว่าวันดีคืนดีก็ได้ยินเสียงร้องไห้บ้าง เสียงกรีดร้องบ้าง
หรือบางทีไฟห้องนั้นก็เปิดเองทั้งๆที่
ไม่มีหลอดไฟ
แต่ที่เพื่อนผมเจอหนักที่สุดคือตอนไปห้องน้ำ
เพื่อนผมไปคนเดียว
เพราะปลุกใครก็ไม่ยอมไปเป็นเพื่อน
เลยรีบวิ่งไปเข้าแล้วก็รีบวิ่งกลับ
(ห้องเพื่อนผมอยู่คนล่ะฟากกับห้องน้ำเลย)
แต่ขากลับระหว่างที่วิ่งผ่านทางเดินเชื่อมฝั่งซ้าย-ขวา
ก็เห็นเงาคนค่อยๆเดินจากอีกฟากมา
(เพื่อนผมอยู่ฟากขวา
ห้องชมพูฟากซ้าย)
เพื่อนผมเลยวิ่งเข้าห้องอย่างรวดเร็วพร้อมกับแหกปากกะให้ทุกคนตื่น
แต่แปลกที่ไม่มีใครได้ยินสียงเพื่อนผมเลย
พอเพื่อนผมวิ่งเข้าห้องได้
ก็รีบเอาหนังสือพระมาวางไว้หลังประตูแล้วนอนคลุมโปงเลย
มันบอกได้ยินเสียงเล็บขูดกับกำแพงรอบห้องเหมือนกับที่นศ.คนนั้นบอก
มันเลยท่องบทสวดอุทิศส่วนกุศลให้กว่าเสียงจะเงียบก็เกือบครึ่งชั่วโมง
แต่ที่แปลกคือเมื่อเสียงเงียบไปแล้ว
เพื่อนทุกคนในห้องตื่นพร้อมกันหมด
และพูดขึ้นพร้อมกันว่าเหมือนมีใครไม่รู้เดินตามเข้ามาในห้องด้วย
เพราะเห็นแต่เหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น
คืนนั้นเลยไม่ได้นอนกันทั้งห้อง เปิดไฟ
เปิดวิทยุกันจนถึงเช้าเลย
วันรุ่งขึ้นไปหาซื้อโปสเตอร์รูปพระและผ้ายันต์ที่วัดอุโมงค์มาแแปะไว้เต็มห้อง
หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
นอกจากเสียงร้องไห้และกรีดร้องที่กลายเป็นเรื่องปกติที่ชวนขนลุกของห้อง
สีชมพูหอ 8 หญิงไปแล้ว
----------------------------------------------------------------------------
โดย กอบบุญ อยู่จำนงค์ ผู้ค้นหาข้อมูลเพื่อผู้อ่าน narandd.com