Username:

Password:



  • หน้าแรก
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • ปฏิทิน
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
  • กลับหน้าร้านค้าออนไลน์
หน้าร้านดีดี บอร์ด พระเกจิอาจารย์ พระเกจิอาจารย์ หลวงปู่ทิม อตฺตสนฺโต (ผู้ดูแล: ka1, okay) ชีวะประวัติ หลวงปู่ทิม อตฺตสนฺโต 2/4
หน้า: [1]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
ส่งหัวข้อนี้พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวะประวัติ หลวงปู่ทิม อตฺตสนฺโต 2/4  (อ่าน 4141 ครั้ง)
okay
Global Moderator
Full Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 249


ทีมงานหน้าร้านดีดี.com


ชีวะประวัติ หลวงปู่ทิม อตฺตสนฺโต 2/4
« เมื่อ: ธันวาคม 12, 2009, 12:38:37 PM »

ชีวะประวัติ หลวงปู่ทิม อตฺตสนฺโต วัดพระขาว 2/4

   

ชีวะประวัติ หลวงปู่ทิม อตฺตสนฺโต วัดพระขาว 2/4
เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ครั้งที่ 2
ก่อนที่หลวงปู่จะออกบรรพชาครั้งที่ ๒ นี้ ให้บังเกิดอาเพศมีเหตุการณ์ประหลาด ๓ ประการทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตของการเป็นฆราวาสอย่างที่สุดประการแรก วันนั้นหลวงปู่เดินทางกลับจากบ้าน พี่ชายทัศน์ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้วัดพิกุลเพื่อจะกลับบ้านพอเดินผ่านมาถึงวัดก็ได้ยินพระสวดมนต์ หลวงปู่ก็เลย ก้มลงนั่งแล้วยกมือขึ้นมาไห้วสาธุ ในบัดดลนั้นก็ให้บังเกิดมีจิตศรัทธาในพระบวรพระพุทธศาสนาขึ้นอย่าง จับจิตจับใจ พร้อมทั้งอธิษฐานในใจว่า ข้าพเจ้าจะต้องบวชให้ได้อีกครั้งหนึ่ง เหตุการณ์ครั้งที่สอง หลวงปู่ได้ออกไปเกี่ยวหญ้าเพื่อจะนำมาให้วัว ซึ่งเลี้ยงไว้หลายตัว พอจะก้มลง เกี่ยวหญ้า ก็บังเอิญเกิดต้นหญ้ามาตำนัยน์ตา ถึงกับน้ำตาไหลพรากแทบจะบอดด้วยความเจ็บปวดอย่างมากจึงยกมือพนมขึ้นไห้วพระ ทันใดนั้นก็บังเกิดแรงดลใจขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองว่า ข้าพเจ้าจะต้องบวชให้ได้อีก ครั้งหนึ่ง

เหตุการณ์ครั้งที่สาม
หลวงปู่ได้ออกไปเกี่ยวหญ้าเช่นเดิมอีก แต่เป็นทางเรือ เพราะน้ำท่วม เท้าได้แช่อยู่ ในเรือเป็นเวลานานเมื่อเกี่ยวหญ้าเสร็จ หลวงปู่ได้ก้มลงวิดน้ำเรือออก วิดเสร็จแล้วก็ยกเท้าขึ้นมาดม มีความรู้สึกในใจว่ามีกลิ่นเหม็นเน่าเพราะน้ำมันกัดทำให้เกิดมีอารมณ์สังเวชและสลดใจตัวเองเป็นอย่างมากทำให้บังเกิดมีวิจารณาญาณ ขึ้นมาเองว่า "ตัวเรานี่หนอเน่าทั้งเป็นเสียแล้ว" จะหาความสะอาดและบริสุทธิ์เหมือนอย่างพระพุทธศาสนานี้ไม่มีอีกแล้ว ทำให้เกิดความตั้งใจมั่นขึ้นอีกเป็นวาระสุดท้ายของการออกบวช ให้ได้เป็นครั้งที่สอง ด้วยแรงจิตอธิษฐานมาถึงสามครั้งสามครา ประกอบกับบุญบารมีของหลวงปู่ที่มีมาแต่ ปางก่อนมาถึงได้มาดลจิตดลใจ พร้อมทั้งบันดาลให้เกิดความสังเวช และเบื่อหน่ายต่อชีวิตของการครองเรือน จึงตัดสินใจสละความสุข ความสนุกสนานตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ออกบรรพชาเป็นครั้งที่สอง และพร้อมใจ ก้าวเข้าสู่ประตูพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายนพ.ศ.๒๔๙๑ สมประสงค์ที่ได้ตั้งใจมั่นไว้ นับว่าโชคดี ของชาวบวรพระพุทธศาสนา ที่ได้บังเกิดมีสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นองค์แทน ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง พร้อมทั้งพระพฤติและปฏิบัติตามรอยพระบาทของพระโพธิสัตย์ อย่างเคร่งครัดทุกประการ โดยมีหลวงพ่อพระครูอุดมสมาจารย์ (หลวงพ่อสังข์ แห่งวัดน้ำเต้า) เป็นองค์อุปัชฌาย์ หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดพิกุล อ.บางบาล จ.อยุธยา ในพรรษาแรกของการบวชหลวงปู่ได้ใช้เวลาประพฤติและปฎิบัติอย่างจริงจังโดยท่องนวโกวาทได้จนจบหมดทั้งเล่ม จนมีความรู้สึกในด้านพระวินัยและธรรมะเป็นอย่างดีเลิศ

ในระหว่างที่หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดพิกุลนั้น
ได้มีชาวบ้านนำเอาศพคนตายมาฝากไว้ในกุฏิถึง ๒ ศพด้วยกัน ทำให้เกิดมีแนวกรรมฐานด้วยตนเองอย่างถ่องแท้ พร้อมทั้งอาศัยหลักกรรมฐานด้วยตนเอง อย่างถ่องแท้ พร้อมทั้งอาศัยหลักกรรมฐานที่ว่า"สามัญในลักษณะ" หมายความว่า ลักษณะที่เสมือน กันใน สังขารทั้งหลายทั้งปวง สิ่งนั้นก็คือ
อนิจจัง ( ความไม่แน่นอนในสังขาร )
ทุกข์ขัง (ความวุ่นวาย , ไม่สงบสุข ในสังขาร )
อนัตตา (ความตาย , ไม่มีตัวตน )
     พยายามพิจารณาให้เป็นอารมณ์ โดยปฏิบัติด้วยตนเองและอาศัยศพที่ขึ้นอืดเน่าเฟียะ ที่มีอยู่เป็นเครื่องพิจารณาแทนอุปกรณ์การเรียน ทีแรกๆ ก็นึกหวาดกลัวอยู่บ้างเหมือนกัน เป็นของธรรมดา เมื่อพิจารณา จนเกิดความชินในศพทั้งสองนั้น ด้วยการพิจารณาอยู่ทุกคืน โดยเอาเทียนไขจุดตั้งไว้บนปากโลงศพ แล้วก็ นั่งพิจารณาดูศพนั้นตามหลักของ พระพุทธศาสนาที่ว่า อนิจจัง-ทุกข์ขัง-อนัตตา นั่งพิจารณาอยู่จนดูเสมือนว่าศพนั้นได้ยิ้มและก็หัวเราะเล่นกับเรา เหมือนว่ามีบุญและวาสนามาในทางนี้ จึงทำให้ไม่กลัวต่อศพ ที่กำลังเน่าเฟียะที่ขึ้นอืดอยู่ในโลงศพนั้น ทั้งๆที่ตัวของหลวงปู่ท่านเองก็ยังไม่มีครูหรืออาจารย์มาช่วยแนะแนว ทาง หรือมาสั่งสอนให้ก่อนเลย หลวงปู่พยายามปฏิบัติ ด้วยตัวของหลวงปู่เอง ก่อนแท้ๆ เมื่อมีจิตใจ เข้มแข็งพร้อมแล้ว หลวงปู่ก็แอบเข้าไปเจริญกรรมฐานอยู่ในป่าหลังวัดอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่า พระที่เพิ่งบวชใหม่นี้ ยังไม่ได้พรรษาเลย จะสามารถประพฤติและปฏิบัติได้ถึงขนาดนี้ หลวงปู่ท่านใช้หลัก การปฏิบัติที่ว่า ทำอะไรต้องทำให้จริงและต้องทำให้สำเร็จให้ได้ มิฉะนั้นแล้วก็จะติดตัวเป็นนิสัย

      คืนแห่งความทรงจำ ในคืนหนึ่งซึ่งมืดสนิทหลวงปู่ได้เข้าป่าหลังวัดพิกุล ซึ่งตอนนั้นถนนหนทาง ยังไม่มี จะเป็นป่าทึบไม่เตียนรื่นเหมือนปัจจุบันนี้หลวงปู่ท่านได้เข้าไปนั่งเจริญกรรมฐาน จนเวลากลางดึกสงัดแล้วก็เดินเข้ามานั่ง ในพระวิหารของหลวงพ่อโส วัดพิกุล เป็นเวลาประมาณ ตี ๑ เศษ แล้วก็กลับ มาจำวัดในกุฏิในคืนแห่งความทรงจำนี้ทำให้ได้แนวทางทางกรรมฐานไว้จิตใจ คือ ได้ความวิเวกและวังเวงอย่างที่สุด อันเป็นพื้นฐานเบื้องต้น ของแนวทางกรรมฐานของหลวงปู่ รวมระยะเวลาที่จำพรรษาอยู่ ณ วัดพิกุล อ.บางบาล นี้ เป็นเวลา ๑ พรรษา พอออกพรรษา หลวงปู่ก็ได้มาอยู่ยังวัดพระขาว เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๒ สาเหตุที่มาพรรษาอยู๋ ณ วัดพระขาว ครั้งแรกนั้น ก็เพื่อจะให้ห่างบ้านเกิดเมืองนอนสักหน่อย ซึ่งในขณะนั้นพระอาจารย์ติ่ง พุทฺธสิริ เป็นเจ้าอาวาสและอีกประการหนึ่ง ที่อยากจะมาอยู่ที่วัดพระขาวนี้ เพราะในสมัยนั้น วัดพระขาวเป็นป่าทึบและก็มีกุฏิร้างอยู่กลางป่าทึบ ๑ หลัง ซึ่งเหมาะที่จะมาประพฤติ และปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก ระยะแรกที่หลวงปู่ได้มาอยู่ในวัดพระขาว หลวงปู่มีความรู้สึกกลัวต่อสภาพ และสิ่งแวดล้อมรอบๆ วัดนี้มากแม้แต่ศาลาการเปรียญก็ไม่ค่อยกล้าไป แต่ด้วยใจอันเด็ดเดี่ยวที่ปรารถนา จะหาธรรมะ เพื่อต้องการเจริญกรรมฐานเป็นที่ตั้งหลวงปู่มีความมานะและอุตสาหะ เพื่อที่จะฝึกจิตใจให้ หายต่อความกลัวพวกผีปีศาจ อยากจะศึกษาว่า ผีมีจริงหรือไม่ โดยลงไปที่ศาลาในยามวิกาลเป็นขั้นแรก หลวงปู่ทดลองอยู่ ๓ คืน โดยไม่ให้ใครรู้ เพื่อที่จะค้นคว้าหาสาเหตุของธรรมชาติมนุษย์ที่มักจะกลัวกัน นักกันหนาก็คือจำพวกผี-ปีศาจ ในระยะเวลาที่หลวงปู่แอบลงมาในยามวิกาลดึกๆดื่นๆ และเงียบสงัดนั้น ก็เพื่อที่จะสังเกต รูป-เสียง ว่าจะมีอะไรบ้าง ในยามวิกาลผลของการทดลองปรากฏว่า ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องของความน่ากลัวให้ปรากฏเห็นเลย ต่อจากั้นก็ลองไปเจริญกรรมฐานที่อุโบสถในยามวิกาลอีก ๓ คืน เหตุการณ์ปกติเหมือนเดิมไม่ปรากฏอะไรให้เห็นเลย ในที่สุดหลวงปู่ก็ไปอยู่ที่วัดร้างกลางป่าในเวลาดึกสงัด โดยไม่มีใครรู้เห็นอีก ๓ คืน จนพระในวัดทราบเรื่อง ก็เพราะเด็กวัดที่มาอยู่ด้วยตื่นขึ้นมาไม่เห็นหลวงปู่ ก็เกิดการกลัวตกใจร้องลั่น จนพระในวัดตกใจตื่น ลุกขึ้นมาค้นหาหลวงปู่ก็พบว่า หลวงปู่แอบไปอยู่ในป่า หลังวัดแต่ลำพัง โดยตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าใน ๓ คืนแรกมาอยู่ในกุฏิร้างกลางป่าช้านี้ ถ้าไม่มีอะไรเกิดเหตุ บอกเพทภัย ก็จะจำพรรษาอยู่ในกุฏิร้างแห่งนี้ตลอดไปถ้าตัวหลวงปู่ไม่มีบุญบารมีพอล่ะก็ ขอให้มีอะไรมาดล ใจหรือปรากฎเหตุการณ์อะไรๆ ให้ต้องอยู่ไม่ได้ในที่นี้ผลสุดท้ายก็เป็นอันว่า หลวงปู่ตกลงจำพรรษาอยู่ในกุฏิกลางป่านั้นเรื่อยมาโดยมีสภาพของกุฏิไม่น่าอยู่เลยหลังคาก็ผุรั่ว พื้นก็ผุพง เอาเสื่อเก่าๆ ของวัดที่ใช้รองศพอาจารย์ทรัพย์ซึ่งเป็นสมภารเก่าของวัดพระขาวซึ่งมรณภาพแล้ว กลิ่นสาบเห็นสางยังติดอยู่มาปูลงนอน จนทายกเห็นความมานะ และความรักสันโดษของหลวงปู่ จึงได้ชักชวนชาวบ้านย่านใก้ลๆ วัดมาปรับปรุง กุฏิ ให้น่าอยู่อาศัยขึ้น โดยมี น้าโชติ,น้าเก๋,น้าฟู เป็นผู้นำปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิม

ในระหว่างจำพรรษที่กุฏิกลางป่า
หลวงปู่ก็ได้เริ่มนั่งเจริญกรรมฐานอย่างเอาจริงเอาจัง โดยพิจารณา "อัฐิกรรมฐาน" คือ พิจารณากระดูกเป็นอารมณ์ จนรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ขึ้นใจในกรรมฐานเท่าใดนัก
      อยู่มาคืนวันหนึ่ง เมื่หลวงปู่ปฏิบัติธรรมเจริญกรรมฐานเรียบร้อยดีแล้ว ก็เข้าจำวัดในกุฏิร้างกลางป่าในคืนนั้นหลวงปู่ก็เกิดนิมิตขึ้นอย่างประหลาดและ อัศจรรย์มากคือในฝันว่าหลวงปู่กำลังนั่งสมาธิอยู่ในป่าได้มี ชีปะขาว นุ่งขาว ห่มขาว มาจนถึงตัวด้านขวาแล้วในฝันนั้นชีปะขาวบอกว่า ท่านจะมาอยู่กุฏิกลางป่านี้ ท่านต้องเปลี่ยนการเจริญกรรมฐานเสียใหม่ คือ ท่านจะต้องพิจารณาถึงความตายให้เป็นอารมณ์ถึงจะอยู่ที่กุฏินี้ได้ ต่อจากนั้นหลลงปู่ก็สะดุ้งตื่นทำให้มีกำลังใจไม่รู้สึกกลัวอะไรเลย กลับรู้สึกทราบซึ้งในบุญวาสนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มาช่วยเหลือและช่วยแนะแนวทางให้ด้วยเหตุว่าวันข้างหน้าจะต้องมีเหตุการณ์ที่อันตราย และ เป็นอุปสรรคต่อการเจริญกรรมฐานมาก ถ้าการเจริญกรรมฐาน แตกก็จะทำให้เสียผลที่ได้ปฏิบัติมาตั้งแต่ต้นต่อมาเหตุการณ์ที่ชีปะขาวมาเข้าฝันในคืนนั้นก็ เป็นจริงดังว่า คือ ในคืนต่อมาได้มีผู้นำเอาศพของชายผู้หนึ่งซึ่งถูกยิงตาย กำลังหามกันมาร่องแร่ง แล้วก็มาหยุดอยู่ข้างกุฏิร้างที่หลวงปู่อยู่ต่างก็เร่งรีบช่วยกันขุดหลุม เพื่อที่จะฝังศพของชายผู้นั้นอย่างฉับไว ซึ่งอยู่ใก้ลกับกุฏิของหลวงปู่ ที่ใช้ปฏิบัติกรรมฐานอยู่เมื่อเสร็จแล้วก็รีบไป ภาพและเหตุการณ์ที่เห็นในคืนนั้น ทำให้จำวัด ไม่หลับแต่ มิใช่ว่าจะกลัว พยายามข่มใจให้อยู่ได้แล้วก็ยังหลับไม่ลงจนรุ่งสว่าง เพราะภาพนั้นติดตา จนเกิดความคิดขึ้นมาว่า ถ้าขืนจำวัดอยู่ ณ ที่นี้ ในไม่ช้าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเขาสืบรู้เข้ามาให้เป็นพยานสอบถามหาความแล้ว จะปฏิเสธว่า ไม่รู้ไม่เห็นก็กระไรอยู่เพราะจะทำให้ผิดศีล

จึงตัดสินใจออกจากกุฏิร้าง
กลางป่าแห่งนั้น แล้วมุ่งหน้าไปจำวัดอยู่ยังวัดน้ำเต้ากับอุปัชฌาย์ คือ หลวงพ่อสังข์ อยู่กับหลวงพ่อวัดน้ำเต้าประมาณ ๑ เดือน ในระหว่างที่อยู่กับหลวงพ่อ สังข์นั้น หลวงพ่อสังข์ได้ไต่ถามถึงความเป็นมาของการปฏิบัติกรรมฐานที่ผ่านๆ มาอย่างไรบ้าง โดยตั้งคำถาม ถามหลวงปู่ก่อนว่า
ถาม : การปฏิบัติธรรมกรรมฐานท่านั่งอย่างไร ทำอย่างไร     ตอบ : นั่งท่าสมาธิ คือ เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย
ถาม : ท่านพิจารณาอะไร เป็นอารมณ์                                  ตอบ : พิจารณา ถึง ความตายเป็นอารมณ์
ถาม : ท่านบริกรรม ว่าอย่างไร
ตอบ : บริกรรมว่า "มรณังภวิสติ" ซึ่งแปลความว่า ความตายจักมี "ชีวิตินทรียัง อุปชิตชิตสติ ซึ่งแปลความว่า ชีวิตอินทรีย์ จะเข้าไปขาด

      เมื่อหลวงพ่อสังข์ ทราบเรื่องแล้ว หลวงพ่อสังข์ก็กล่าวชมเชยว่า ใช้ได้ทั้งๆที่ยังไม่มีใครสอนหรือต่อให้มากอน พร้อมทั้งพูดเสริมขึ้นอีกว่า "ฉันบวชให้คุณ ฉันได้บุญหลาย" ต่อจากนั้น หลวงปู่ก็ได้นั่งปุจฉา-วิสัชนาอยู่กับหลวงพ่อวัดน้ำเต้าอย่างใก้ลชิด และทราบซึ้งในธรรมะมาก นับว่าเป็นครั้งแรกที่หลวงปู่ ท่านได้รับรู้แนวทางการเจริญธรรมกรรมฐานอย่างจริงจังหลวงปู่มีเวลาอยู่เจริญกรรมฐานกับหลวงพ่อวัดน้ำเต้าอย่างใก้ลชิดเป็นเวลา ๑ เดือนเต็ม หลวงปู่ก็ กราบขอลาหลวงพ่อสังข์กลับมาอยู่จำพรรษายังวัดพระขาวตามเดิม

      เมื่อหลวงปู่กลับมาอยู่กุฏิที่วัดพระขาวอย่างเดิมก็มีเหตุการณ์ให้ติดตาติดใจหลวงปู่หลายๆ อย่าง คือ คืนวันหนึ่งมีการเผาศพคุณวิเชียร ทรงเคารพ วันนั้น หลวงปู่ได้ขึ้นพิจารณาศพของคุณวิเชียร บนเชิงตะกอนเป็นนิมิตจนติดตา เนื่องจากศพที่เผานั้นไม่นอมไหม้ไฟต้องนำเอาศพของคุณวิเชียรนั้นออกจากเชิงตะกอน แล้วนำศพนั้นมาหั่นเป็นท่อนๆ เสร็จแล้วจึงนำเอาชิ้นส่วนศพนั้นไปเผาไฟใหม่ถึงจะไหม้ ตอนหลังได้ทราบว่าศพนั้นถูกคุณทางไสยศาสตร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น หลวงปู่ได้นำมาให้เกิดเป็นนิมิตเพื่อพิจารณาแนวทางกรรมฐานของการเจริญในเรื่อง "มรณานุสสติ" คือ พิจารณาศพที่ตายนั้นเป็นอารมณ์ พร้อมทำสมาธิอยู่ ในกุฏิกลางป่า เมื่อได้อารมณ์สงบดีแล้ว จึงเข้าไปเดินจงกลมที่ในป่ายามดึกสงัดของคืนวันนั้น โดยอาศัยนิมิตของคุณวิเชียร ที่ตายนั้นเป็นอารมณ์ เดินกลับไปกลับมาอยู่ในป่าหลังวัดนั้น โดยที่ไม่มีแสงไฟหรือแสงสว่างอะไรเลย นอกจากแสงดาวระยิบระยับเท่านั้น จนถึงเวลาอันสมควรแล้ว จึงได้ขึ้นมาบนกุฏิร้าง เพื่อกรวด
น้ำอุทิศบุญกุศลไปให้ยังผู้ตายมีคุณวิเชียรเป็นต้น แล้วจึงเข้าจำวัด ถึงกระนั้นจิตก็ยังไม่ยอมละจากกรรมฐานในขณะนั้นเองก็บังเกิดมหัศจรรย์ขึ้นอย่างประหลาด คือ มีเสียงดัง ปัง! ปัง! ปัง! ขึ้นถึง ๓ ครั้ง คล้ายกับว่าเหมือนมีใครเอาท่อนไม้มาตีที่ระเบียงกุฏิร้างนั้น ทั้งๆที่รอบๆ กุฏิก็ไม่มีต้นไม้ หรือกิ่งไม้ใหญ่มาปกคลุมเลย หลวงปู่ไม่รู้สึกประหวั่นหรือกลัวเลยแม้แต่น้อยเนื่องจากมีจิตใจที่ตั้งมั่นอยู่ในกรรมฐานทุกเวลา เหตุการณ์ที่ระทึกขวัญนี้ หลวงปู่สำนึกว่าคงเป็นคุณวิเชียรที่ตาย นั้นมาแสดงอาเพศ เพื่อที่จะให้หลวงปู่มีจิตใจเจริญกรรมฐานได้สำเร็จลุล่วงด้วยดี สำหรับคุณวิเชียรที่ตายนั้นก็คงไปเกิดในที่ดีๆ ด้วยเช่นกัน หลวงปู่ท่านอธิบาย ว่า ผู้ที่เจริญกรรมฐานเพื่อจะให้พ้นทุกข์สำเร็จได้ จะต้องประสบกับเรื่องทำนองนี้เองเสมอๆ จนดูเสมือนว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเขาจะต้องมาลองใจเราไม่ว่า วันใดก็วันหนึ่ง
  

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 12, 2009, 01:43:46 PM โดย okay » บันทึกการเข้า

+++จงเป็นผู้ให้ก่อน  ที่จะเป็นผู้รับ+++
หน้า: [1]   ขึ้นบน
ส่งหัวข้อนี้พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.10 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
Nt-Sun Theme by N a t i
กำลังโหลด...