หลวงพ่อสีห์ สีหะเตโชชีวประวัติ หลวงพ่อสีห์
หลวงพ่อสีห์ สีหะเตโช วัดโต่งโต้น อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เป็นศิษย์สายหลวงปู่ทอง เจ้าของตำรา “แป้งเสกเทวดานะเศรษฐี” ในเขตเขาใหญ่ ไม่มีใครไม่รู้จักหลวงปู่ทองท่านเก่งมากพลังจิตแก่กล้าถือสันโดษตอนมรณภาพลูกศิษย์ บอกว่า มีแค่บาตร 1 ใบกับย่าม ตัวหลวงปู่ทองท่านเป็นครูบาอาจารย์ต้นตำรับที่ไม่ยึดติดในสิ่งใดจริงๆ หลังจากหลวงปู่ทองได้มรณภาพแล้ว ตำราคาถาอาคมพระเวทต่างๆ นั้นตกทอดมาอยู่กับหลวงพ่อสีห์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด ซึ่งหลวงพ่อสีห์ท่านก็เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี
ในสมัยที่หลวงปู่ทองท่านยังมีชีวิตอยู่นั้นหลวงพ่อสีห์ ท่านอยู่รับใช้หลวงปู่ทอง ตั้งแต่เป็นสามเณรและหลวงปู่ทองท่านก็ให้เณรสีห์นั้นสวดบทสวดใน 12 ตำนาน ซึ่งสามเณรสีห์นั้นตอนนั้นก็หัวดีสวดได้ในเวลาอันรวดเร็วและสวดให้หลวงปู่ฟังตลอดจนหลวงปู่ได้ถ่ายทอดพระยอดคาถานะมหาเศรษฐีเรียกทรัพ์ อันเป็นที่หวงมากของหลวงปู่ให้แก่สามเณรสีห์ ซึ่งภายในเวลาไม่ถึง 4 เดือน สามเณรสีห์ก็สามารถเจริญภาวนาพระคาถาพญาชูชก ทั้งบทใหญ่ และบทย่อได้อย่างแม่นยำ ซึ่งหลวงปู่ทองก็ได้ฝึกให้สามเณรสีห์ในขณะนั้นได้หาว่านมาทำน้ำมันว่านเศรษฐีโดยเมื่อสามเณรสีห์นำว่านมาหุงเป็นน้ำมันแล้วก็ให้ใช้พระคาถาพญาเศรษฐีเรียกทรัพ์สวดเสกน้ำมันไปเรื่อยๆ นานๆ ที หลวงปู่ทองท่านก็จะมาดูน้ำมันพญาชูชกที่สามเณรสีห์เสก พอมาถึงหลวงปู่ทองท่านก็จะใช้นิ้วจุ่มลงไปในน้ำมันแล้วก็บอกแก่สามเณรสีห์ว่า “ยังไม่ได้เรื่องเลย” แล้วหลวงปู่ท่านก็เดินกลับไป สามเณรสีห์ก็ทำพิธีท่องพระคาถาเสกต่อไปเป็นเช่นนี้เกือบสิบหนจนหลวงปู่ทองมาเอานิ้วจุ่มในน้ำมันอีก แต่คราวนี้หลวงปู่ทองท่านบอกว่า “เอ้าใช้ได้แล้วนิ” แล้วหลวงปู่ทองท่านก็ให้ลูกศิษย์มาเอาน้ำมันนั้นไปเททิ้งแล้วให้สามเณรสีห์ทำใหม่อีก ซึ่งนี่ก็เท่ากับเป็นการฝึกความมานะอดทนของสามเณรสีห์ในขณะนั้นจนกระทั่งสามเณรสีห์อายุครบบวช จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุและก็อยู่รับใช้หลวงปู่ทองตลอดมา
ช่วงที่เป็นพระภิกษุนี้เอง หลวงพ่อสีห์ท่านได้เล่าให้ฟังว่าหลวงปู่ทองนั้นให้ไปนั่งพิจารณาในป่าช้าก็มีบางครั้งให้ไปนั่งพิจารณา 3 วัน 3 คืน โดยไม่ได้ฉันอะไรเลย จนกระทั่งช่วงก่อนที่หลวงปู่ทองจะมรณภาพได้ไม่ถึง 4 เดือน หลวงปู่ทองท่านนำหนังสือตำราการทำแป้งเสก ตำราเทวดาเสกแป้ง และการทำพิธีลงเทวดาเล่นแป้งออกให้หลวงพ่อสีห์ดู และให้หลวงพ่อสีห์ไปศึกษาตามตำรา แล้วในแต่ละวันพระหลวงปู่ทองท่านจะเรียกหลวงพ่อสีห์นั้นให้มาท่องคาถาเทวดาเล่นแป้งให้ฟังพอท่องได้หลวงปู่ทองท่านก็ให้หลวงพ่อสีห์นั้นเอาแป้งดินสอพองมาเสก และผสมน้ำ รวมมหาสูตรจากตำรับแป้งเสกเทวดา แล้วให้ใช้เป็นมหาสูตรเทวดาเล่นแป้ง ซึ่งหลวงพ่อสีห์ท่านบอกว่าตอนนั้นหลวงปู่ทองท่านจะดุมาก ทำอะไรไม่ได้ท่านจะดุ และต้องทำให้ได้ บางครั้งต้องนั่งทำอยู่ตรงนั้นถึง 2 วัน 2 คืนก็มี และตอนนั้นเองหลวงปู่ทองท่านก็บอกแก่หลวงพ่อสีห์ว่า “วิชานี้ข้าหวงนักไม่อยากให้ใคร ก็มีแต่ท่านเท่านั้นนะที่ข้าจะให้”
ตำราแป้งเสกเทวดานะเศรษฐีนี้หลวงพ่อสีห์ท่านบอกว่า เป็นวิชาเสกแป้งที่เด่นในเรื่องเมตตามหาเสน่ห์ เมตตามหานิยม ส่วนพิธีเทวดาเล่นแป้งนั้นเป็นพิธีที่นำแป้งเสกเทวดานั้นมาทำพิธีลงให้แก่ญาติโยมเพื่อเสริมอำนาจบารมีในเมตตามหาเสน่ห์ เมตตามหานิยม ซึ่งวิชาการลงแป้งเสกเทวดานี้ในสมัยก่อนนั้นนอกจากหนุ่มๆ ทั่วไปจะชอบมาให้หลวงปู่ทองลงให้แล้ว ก็ยังมีพวกลิเก เป็นส่วนใหญ่ ทั้งหญิง ทั้งชายมาให้หลวงปู่ทำพิธีลงให้เพื่อให้คนดูผู้ชมนั้นรักและหลง
แม้ในยุคปัจจุบันคณะลิเกชื่อดังหลายคน หลายคณะ เมื่อบอกชื่อทุกคนต้องเป็นที่รู้จักแน่นอน ยังเดินทางมาให้หลวงพ่อสีห์ท่านลงเทวดาเล่นแป้งให้อยู่เป็นประจำ หรือแม้แต่นักร้องลูกทุ่ง หรือชาวคณะหมอลำที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองไทยก็ยังเดินทางมาให้หลวงพ่อสีห์ท่านทำพิธีลงเทวดาเล่นแป้งให้ และหลายคนก็จะนำแป้งมาทิ้งไว้ให้หลวงพ่อสีห์ท่านเสกให้ครั้งละนานๆ แล้วจึงกลับมาเอาแป้งที่หลวงพ่อสีห์ท่านเสกให้นั้นนำไปใช้
ซึ่งก็ไม่ใช่มีแต่นักร้อง นักแสดงเท่านั้น แต่พ่อค้าแม่ค้าที่รู้เรื่องแป้งเสกนี้ดีก็ต่างพากันมาเอาแป้งเสกของหลวงพ่อสีห์ และพระปิดตารวยปลดหนี้ของหลวงพ่อสีห์ไปบูชากันอย่างไม่ขาดสาย
พระปิดตารวยปลดหนี้ ของดีที่หลวงพ่อสีห์ท่านได้รวบรวมมวลสารมาไว้ตั้งแต่ครั้งที่ท่านเดินธุดงค์ และมวลสารที่หลวงพ่อท่านนำมาสร้างพระปิดตารวยปลดหนี้รี้นับเป็นมวลสารที่เด่นที่สุดในเรื่องโชคลาภ และเป็นมวลสารที่มีอานุภาพในด้านเมตตามหานิยมเป็นหลัก และที่สำคัญพระปิดตารวยปลดหนี้นี้ หลวงพ่อสีห์ท่านได้สร้างและทำพิธีปลุกเสกเดี่ยวมาเป็นเวลา 7 ปีเต็มๆ จึงมั่นใจไดเลยว่า “พระปิดตา รวยปลดหนี้” นี้ใครที่ได้บูชาก็จะเป็นของดีที่เสริมในเรื่องเมตตามหานิยม เสริมโชคลาภได้แบบเต็มพลัง มีไว้บูชาการทำมาค้าขายจะได้ทรัพย์ไม่ขาดมือ
ของดีที่เด่นด้วยโชคลาภแบบโบราณที่ในปัจจุบันนี้หาครูบาอาจารย์ที่จะสร้างนั้นยากเต็มที เพราะว่าด้วยมนต์คาถาที่แทบจะไม่มีผู้ใดสืบต่อกันเลย แต่หลวงพ่อสีห์ท่านได้ตำรับวิชาการสร้างและปลุกเสกของดีที่สร้างจากไม้แหย่แย้นี้จากหลวงปู่เหมือน ตอนที่ท่านธุดงค์อยู่ในแถบเขมรและก็ได้เจอกับหลวงปู่เหมือนและได้ศึกษาวิชาหลายๆอย่างจากหลวงปู่เหมือน โดยเฉพาะวิชาการสร้างและปลุกเสกลูกอมไม้แหย่แย้ ซึ่งลูกอมไม้แหย่แย้นี้จะมีพลังอาถรรพณ์ ที่เด่นในเรื่องโชคลาภและเมตตามหานิยมเป็นที่หนึ่ง และในปัจจุบันจะหาของดีอย่างลูกอมไม้แหย่แย้ที่แท้ๆและเป็นของดีตำรับโบราณนั้นคงหายากเต็มที แต่ก็จะมีแต่ที่หลวงพ่อสีห์ท่านได้สร้างนี่แหละครับ
หลวงพ่อสีห์ท่านจะให้ธรรมกับลูกศิษย์ที่ไปกราบท่านอยู่เสมอ “ถ้าเรามีความหมั่นความขยันมีปัญญาและย่อมหาทรัพย์ได้โดยง่าย สมกับโบราณภาษิต ท่านกล่าวไว้ว่า ทรัพย์นี้มิไกล ใครปัญญาไวหาได้บ่นาน ทั่วแคว้นแดนดินมีสิ้นทุกข์สถาน ผู้ใดเกียจคร้านบ่พานพบ และก็แสดงให้เห็นแล้วว่า แม้เพียงปัญญาอย่างเดียวก็ย่อมสำเร็จ ถ้ามัวแต่ไปท่องตัวคาถา อุ อา กะสะ ถ้าไม่ลงมือทำด้วยความขยันหมั่นเพียร รับรองว่าไม่เป็นเศรษฐีแน่นอนท่องแต่คาถาหัวใจเศรษฐีแต่ไม่ลงมีปฏิบัติ มีแต่จะทุกข์ลูกเดียว ไม่ต้องสงสัยเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า เป็นประโยชน์ทันตาเห็น ขอให้ญาติโยมพึงประพฤติบำเพ็ญธรรม 4 ประการนั้น ให้บริบูรณ์ในสันดานตน ก็จะบรรลุได้ทันตาเห็น ขอให้ประพฤติปฏิบัติเอา ประโยชน์ในภายหน้าก็มี 4 อย่าง คือ
1. สัทธาสัมปทา คือ เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ เช่น เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ความเชื่อท่านจัดไว้หลายประเภท เช่น สัทธาสัมปา 2 คือ โลกิยสัทธา คือ ความเชื่อความเป็นไปในทางโลก และโลกุตตรสัทธา ความเชื่ออันพันจากโลก 1 แต่สัทธาในสัมปรายิกัตถุประโยชน์นี้ หมายเอาสัทธาญาณสัมปยุตต์ เพราะคำว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว บอกชัดอยู่ในตัวแล้วว่าดีและชั่วล้วนแต่เกิดมาจากเหตุผลคือ การกระทำสมกับพุทธภาษิตที่ว่า กัลป์ยาณการี กัลป์ยานังปาปการี จะปาปะกัง แปลว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เมื่อคนเรามีศรัทธาต่อคำสอนของพระศาสดาแล้วนำปฏิบัติ ย่อมเกิดผลดีไพบูลย์สืบไป
2. ศีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล คำว่า ศีล แปลว่า ปกติ กายปกติ วาจา ปกติใจ อันเป็นคุณธรรมเครื่องรักษากาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อยคือ เมื่อเราได้สมาทานศีลไปแล้ว ไม่ประพฤติล่วงศีล
3. จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการบริจาคทาน คำว่า ทาน มี 2 ประเภท คือ อามิสทาน คือ ทานสิ่งของ เงินทอง เครื่องใช้ เครื่องบริโภค ที่เป็นวัตถุ การให้โอวาท หรือการแสดงธรรมให้ฟังแนะนำในทางดี เรียกว่า ธรรมทาน เมื่อคนเราอยู่ร่วมกันหมู่มาก ก็ย่อมมีการอาศัยซึ่งกันและกันช่วยเหลือทั้งทางกาย ทางวาจา และทางทรัพย์บ้าง ผู้ที่ไม่ตระหนี่แบ่งปันสิ่งของให้คนอื่น ย่อมเป็นที่รักของหมู่คณะ ดังธรรมภาษิตที่ว่า ทะตังปิโย โหติ ภะขันตินัง พะหู แปลความว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก คนหมู่มากย่อมคบหาเขาดังนี้ บุคคลที่ได้รับความสุข มีโภคทรัพย์สมบูรณ์ในชาตินี้ ก็เพราะผลทานของเขาในชาติปางก่อน และทานของเขาในปัจจุบันชาตินี้ก็จะให้ผลในภายหน้าต่อไป
4. ปัญญาสัมปทาน คือ ถึงพร้อมด้วยปัญญา คือรู้จักบุญ และบาปคุณและโทษ ประโยชน์หรือมิใช่ประโยชน์ เป็นต้น ปัญญานี้แม้เกิดขึ้นกับบุคคลผู้ใดก็ทำให้บุคคลนั้น มีชีวิตจิตใจผ่องใส บุคคลผู้มีปัญญาย่อมเจริญด้วยลาภยศโภคทรัพย์ ผู้ขาดปัญญา ก็หาทรัพย์ไม่ได้ แม้มีทรัพย์สินมรดกข้าวของอยู่ก็จะเสื่อมสิ้นไป และผู้ที่ลาโลกนี้แล้วไปสู่โลกหน้าคือ สุคติ ทุกขคติ ก็มาจากปัญญาของตัวเอง ผู้ไร้ปัญญาย่อมปล่อยตนของตนจมลงไปความมัวเมาประมาทจะทำกรรมด้วยความโง่เขลา เบาปัญญา ส่วนผู้มีปัญญาย่อมทำตนให้เป็นสุข ได้ทำตนให้หลุดพ้นจากสงสารวัฎได้ก็เพราะปัญญา บุคคลมีปัญญา มีศรัทธาในทางที่ถูกเรียก สัทธาญาณ สัมปยุตต์ ผู้มีปัญญาจะทำจะพูด จะคิด ก็จะรู้ได้ว่ามีคุณ หรือมีโทษ มีประโยชน์หรือไม่ หาประโยชน์ภายหน้าให้สำเร็จ
******************************************************************