Username:

Password:



  • หน้าแรก
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • ปฏิทิน
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
  • กลับหน้าร้านค้าออนไลน์
หน้าร้านดีดี บอร์ด ห้องพูดคุยทั่วไป ห้องข่าว (ผู้ดูแล: ka1, jacky, okay) ยุบอีลิทผลาญงบกว่า 2.3 พันล้าน ค่าโง่บาน-รัฐแบกหลั
หน้า: [1]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
ส่งหัวข้อนี้พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ยุบอีลิทผลาญงบกว่า 2.3 พันล้าน ค่าโง่บาน-รัฐแบกหลั  (อ่าน 5928 ครั้ง)
ka1
Global Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 496


เราจะทำเพื่อสังคม ทีมงานหน้าร้านดีดี.คอม


ยุบอีลิทผลาญงบกว่า 2.3 พันล้าน ค่าโง่บาน-รัฐแบกหลั
« เมื่อ: มกราคม 11, 2010, 09:22:39 PM »

ยุบอีลิทผลาญงบกว่า 2.3 พันล้าน ค่าโง่บาน-รัฐแบกหลังแอ่น

บอร์ดทีพีซีสรุป 4 แนวทางเลือกอีลิทการ์ด เสนอบอร์ดททท. 29 ก.ค.นี้ ก่อนส่ง “ชุมพล” ตัดสินใจ แล้วนำเข้าที่ประชุม ครม. เชื่อไม่เกิน สิงหาคมนี้รู้ผลแน่ ระบุถ้ายุติโครงการต้องใช้เงินกว่า 2.3 พันล้านชดใช้ค่าเสียหาย แต่ถ้าเดินหน้าต่อก็เป็นภาระของรัฐ ชี้มีความเป็นไปได้ที่จะโอนองค์กรไปเป็นหน่วยงานหนึ่งใน ททท.
      
       นายธงชัย ศรีดามา ประธานคณะกรรมการบริหาร(บอร์ด) บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (ทีพีซี) ผู้บริหารโครงการบัตรไทยแลนด์อีลิท เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบ 4 แนวทางเลือก ในการดำเนินงานของทีพีซี โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมบอร์ดททท.ในวันที่ 29 ก.ค.52 เพื่อพิจารณาก่อนนำเสนอต่อนายชุมพล ศิลปอาชา รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาให้ตัดสินใจเลือก 1 ใน 4 แนวทาง ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อพิจารณาตัดสินชี้ขาดครั้งสุดท้าย ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกินเดือนสิงหาคมนี้
      
       สำหรับ 4 แนวทางที่ ทีพีซี จะนำเสนอจะมีรายละเอียดทั้งข้อดีและข้อเสียเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจด้วย ได้แก่ 1.ยุติโครงการโดยสิ้นเชิง พร้อมจ่ายเงินคืนให้แก่สมาชิกพร้อมค่าเสียหาย ซึ่งผลดีคือตัดปัญหาในระยะยาว แต่ข้อเสียคือต้องใช้เงินจำนวนมากในการชดใช้ค่าเสียหายและค่าเลิกจ้างพนักงานรวมเป็นเงินกว่า 2,300 ล้านบาท
       ไม่รวมเงินที่จะถูกเรียกจากการฟ้องร้องของสมาชิก ที่สำคัญคือเสียภาพลักษณ์ประเทศ
      
       2.ดำเนินการต่อโดยร่วมทุนกับภาคเอกชน สัดส่วนการลงทุนแล้วแต่จะกำหนดว่ารัฐหรือเอกชนจะถือหุ้นใหญ่ โดยในความเป็นจริงรัฐควรถือหุ้นใหญ่ เพราะจะได้รับการช่วยเหลือด้านการประสานงานกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง 3.เดินหน้าโครงการต่อโดยปรับแผนธุรกิจลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ และ 4.โอนภาระกิจทั้งหมดของทีพีซีให้กับ ททท.ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไปดำเนินงานเองโดยใช้แผนธุรกิจการทำงานที่ทีพีซีได้จัดทำในรูปแบบใหม่แล้วมาใช้บริหารงาน ซึ่งแนวทางนี้มีความเป็นไปได้มากที่สุด
      
       ทั้งนี้ในแนวทางเลือกข้อ 2-4 กรอบแนวทางจะคล้ายกันคือต้องปรับลดขนาดองค์กรปรับวิธีบริหารจัดการเพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มรายได้ โดยผลเสียคือต้องมีการปรับลดพนักงาน เท่ากับเพิ่มจำนวนตัวเลขผู้ว่างงานในประเทศ อีกทั้งยังเป็นภาระที่รัฐบาลต้องแบกรับไปในระยะยาว หรือบางครั้งอาจต้องจัดสรรงบประมาณเข้าช่วยเหลือด้วย ส่วนผลดีคือประเทศไม่เสียภาพลักษณ์ ลดความเสี่ยงที่จะถูกสมาชิกฟ้องร้อง เป็นต้น
      
       “ทั้ง 4 แนวทางเลือกมีปัญหาทั้งหมดในเรื่องของการจัดทำรายละเอียดในการปฎิบัติว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป แต่ทั้งนี้ก่อนที่ ครม.จะตัดสินใจ ต้องส่งรายละเอียดให้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ฯ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจร่วมกัน เพื่อให้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”
      
       **แจงสถานทูตลดสิทธิประโยชน์
      
       นายอุดม เมธาธำรงค์ศิริ รักษาการผู้จัดการใหญ่ ทีพีซี กล่าวว่า สมาชิกยังไม่มีสิทธิขอเงินคืน เพราะบริษัทฯยังไม่ได้ปิดกิจการ ส่วนการปรับลดสิทธิประโยชน์ล่าสุด ทีพีซีได้ส่งหนังสือชี้แจงไปยังสถานฑูตทุกแห่งในประเทศไทย และสำนักงาน ททท.ในต่างประเทศ เพื่อชี้แจงถึงความจำเป็นในการปรับลดสิทธิประโยชน์ โดยอ้างถึงผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ทำให้ประเทศไทยและทีพีซีก็ได้รับผลกระทบไปด้วย
      
       บริษัทฯจึงมีความจำเป็นที่ต้องปรับลดค่าใช้จ่ายด้วยการลดสิทธิประโยชน์เสริมแต่ยังคงไว้ซึ่งสิทธิประโยชน์หลักที่แม้มีเงินก็ซื้อไม่ได้เช่น สิทธิวีซ่า 5 ปีสำหรับสมาชิกผู้ถือบัตร และบริการฟาสต์แทรก ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง เป็นต้น โดยสิทธิประโยชน์หลักนี้หากทีพีซีได้ดำเนินงานต่อก็จะใช้เป็นจุดขายหลัก
      
       อย่างไรก็ตามหลังจากบริษัทฯได้ปรับลดค่าใช้จ่ายไปกว่า 62% ทำให้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนเหลือประมาณ 20 ล้านบาท โดยมีกระแสเงินสด ณ วันที่ 31 พ.ค.52 อยู่ที่ 408 ล้านบาท ขาดทุนสะสม ณ วันที่ 30 มิ.ย.52 ที่ 1,431.93 ล้านบาท
      
       ทั้งนี้ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่ ครม.มีมติให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯไปดำเนินการยุติโครงการบัตรไทยแลนด์อีลิท มาเป็นเวลานานแล้วแต่ก็ยังไม่มีเรื่องส่งกลับมาที่ ครม.เสียที ซึ่งมีกระแสข่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่ ครม.จะใช้ทางเลือกโอนทีพีซีไปเป็นหน่วยงานหนึ่งใน ททท. ซึ่งขณะนี้ ครม.ก็รอเรื่องที่กระทรวงการท่องเที่ยวจะส่งมาให้พิจารณา เช่นกัน
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
********************************************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 11, 2010, 09:54:21 PM โดย ka1 » บันทึกการเข้า

เราจะเป็นผู้ให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
(หากมีแต่ ผู้ขอ แล้วคัยจะเป็นผู้ให้ละ)
หน้า: [1]   ขึ้นบน
ส่งหัวข้อนี้พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.10 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
Nt-Sun Theme by N a t i
กำลังโหลด...